(D:BH fanfiction) Hate, Hold #900Gavin
Hate, Hold
Pairing : #900Gavin (Darren x Gavin Reed)
Author : with her percentage | Genre/Rate : OS/PG
* warning *
Slash, Bad End (maybe)
* note *
My 900's name is Darren
_____________________
เพดานว่างเปล่าไม่มีอะไรให้น่าจับจ้องสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น ดวงตาหม่นแสงของตำรวจสืบสวนนาม เกวิน รี้ด ก็ทอดมองมันมานับหลายชั่วโมง
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาปาเข้าไปกี่โมงกี่ยาม เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนอนมองเพดานห้องสีทึมเบื้องหน้ามานานเท่าไหร่ สิ่งรอบข้างเดียวที่เกวินรับรู้มีเพียงเสียงเตือนของนาฬิกาดิจิตอลที่ดัง ‘ตื๊ด’ เมื่อมันเดินครบรอบชั่วโมง
เสียงถอดถอนหายใจจากร่างบนเตียงดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า มันเป็นเช่นนั้นมาสักระยะสลับกับเสียงฟูกที่เสียดสีกับผิวกายยามที่เขาขยับพลิกตัว เกวินนอนไม่หลับ และนี่เป็นคืนที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ความคิดของเขากำลังปลุกปั่นอยู่ภายในหัวจนทำให้ตำรวจหนุ่มวัย 37 ปีได้แต่ก่ายหน้าผากพร้อมกับความพยายามที่จะข่มความฟุ้งซ่านนั้นให้สงบลง
จนรอบของนาฬิกาเดินครบชั่วโมงอีกครั้ง เสียง ‘ตื๊ด’ นั่น ดังขึ้นย้ำเตือนให้ใครที่ยังตื่นอยู่รับรู้ว่าเวลาได้เดินผ่านไปโดยไร้ค่าอีกหนึ่งชั่วโมง เขาได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายของตัวเองดังขึ้นอีกระลอก จนสุดท้ายความอดทนของเกวินก็หมดลง เขาดันตัวเองลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงกว้าง ขยับเข่าทั้งสองข้างขึ้นชันพร้อมกับที่เลื่อนแขนโอบกอดมันเอาไว้
“น่าเบื่อชะมัด” เสียงทุ้มนั่นพึมพำกับตัวเอง
แววสะท้อนจากนัยน์สีสเลทกวาดมองไปทั่วห้องที่แต้มแสงสลัวจากโคมไฟลาวาที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์ข้างเตียง เกวินไม่รู้จะทำอย่างไรกับอาการนอนไม่หลับนี้ นี่ไม่ใช่คืนแรกและไม่ใช่เพียงคืนที่สองหรือสาม... มันนานกว่านั้น เขาเป็นแบบนี้มาราวๆ สองอาทิตย์เห็นจะได้
หรือพูดให้ชัดขึ้น เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่วันที่แดร์เรนเลือกเดินจากไป
เกวินไม่ปฏิเสธว่าตนคิดถึงแอนดรอยด์สืบสวนผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีทึมคู่นั้นมากเพียงใด แววตาที่เคยให้ความรู้สึกเยือกเย็นราวกับยืนอยู่ท่ามกลางหมอกยามเช้าเมื่อถูกจับจ้อง แต่กลับทำให้รู้สึกร้อนรนจนพาใจเต้นแรงหลายครั้งเมื่อถูกสบมองใกล้ๆ
จะพูดก็พูดเถอะ มันคงตลกดี ใครจะไปคิดว่าคนที่เคยแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่าเกลียดแอนดรอยด์นักหนาอย่าง เกวิน รี้ด ในท้ายที่สุดจะไปตกหลุมรักแอนดรอยด์ที่ถูกส่งมาเป็นคู่หูของตัวเองเสียได้
ใช่... คนที่โคตรจะเกลียดแอนดรอยด์แบบเข้าไส้อย่าง เกวิน รี้ด คนนั้น ดันไปเผลอชอบไอ้หุ่นสืบสวนโมเดลRK900 อะไรนั่นซะจนหัวปักหัวปำ แล้ววันนึงก็ถูกมันทิ้งไปแบบไร้ใยดีใดใดก็ตาม
ตำรวจหนุ่มนึกอยากสบถเสียงดังเพื่อเอาความหงุดหงิดหรืออารมณ์อะไรก็ตามที่อัดแน่นอยู่ภายในออกมาให้หมด แต่เพราะรู้ว่าทำไปมันก็เท่านั้น เกวินจึงล้มเลิกความคิดแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอีกครั้ง
ความรู้สึกที่ยังเอ่อล้นอยู่เต็มภายในอกคงไม่ลดลงไปง่ายๆ และเขาเองก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ได้เก่งในเรื่องก้าวเดินต่อมากเสียเท่าไหร่... เขาอยากจะภาวนาให้หลายอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เป็นแค่ฝันที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วยังคงพบว่าแดร์เรนยังอยู่ตรงนั้น ยืนพิงขอบประตูห้องพร้อมกับแก้วกาแฟยามเช้าในมือที่ส่งกลิ่นหอมเสียจนทำให้เขาต้องลุกขึ้นจากเตียง
แต่แน่นอนว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้ว
เกวินหลับตาลงอีกครั้ง ความอ่อนแอที่กำลังกลืนกินไม่ใช่อะไรที่จะคู่ควรกับเขา ทิฐิที่สูงลิบลับเป็นปัญหาของเขาเสมอ ความปากหนักนั่นก็เช่นกัน
สุดท้ายกว่าจะยอมลดมันลงได้ก็สายไปเสียแล้ว
...
เกวินไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน
นาฬิกาเรือนเดิมส่งเสียงโหวกเหวกเสียจนเกวินลืมตาตื่น แสงแดดที่ทอลอดผ่านม่านแสงอัตโนมัตินั่นทำให้เขารีบหยีตาพร้อมกับสะบัดศีรษะไปมาเพื่อเรียกสติให้กับตัวเอง
“กี่โมงแล้ววะเนี่ย...” เสียงอ่อนล้าและแหบแห้งนั่นพึมพำกับตัวเอง ตำรวจหนุ่มพยายามดันตัวเองขึ้นจากฟูกนุ่ม ตาที่ยังลืมไม่ทันดีพยายามเพ่งเล็งไปที่เครื่องบอกเวลาข้างเตียงนั้นอย่างยากเย็น
ก่อนจะค้นพบว่าเลขบนหน้าจอบ่งบอกถึงเวลายามสาย...
... สาย มาก
“ฉิบหายแล้ว ฉิบ... เวรเอ๊ย” ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างแทบจะทันทีหลังจากที่เห็นเวลานั่น เกวินขยี้หัวตัวเองอย่างหัวเสียเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีอะไรที่ต้องทำบ้าง เขากุลีกุจอเข้าห้องน้ำเพื่อทำกิจวัตรประจำวันยามเช้าของตัวเองให้เสร็จสิ้นแล้วรีบตรงไปสำนักงานตำรวจแห่งเมืองดีทรอยท์อย่างเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้
ปกติก็ไม่ต้องรีบร้อนเข้างานขนาดนี้หรอก แต่เพราะวันนี้ต้องไปสรุปคดีให้ฟาวเลอร์ฟัง คดีใหญ่ที่เขาได้รับมอบหมายมาตั้งแต่หลายเดือนก่อนและเพิ่งปิดคดีได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งมันโคตรสำคัญกับเขามากๆ และแม่งตอนนี้ก็แทบจะเฉียดเวลานัดนั่นอยู่แล้ว!
“ทันสิวะ... ทันสิ โฮ่ย! รถเวรพวกนี้ขับช้าเกะกะจังเลยโว้ย!” ความเลือดร้อนของเขาพลุ่งพล่าน มือหนากระแทกลงไปบนแตรไม่ยั้งอัดใส่รถข้างหน้าที่ขับสะเปะสะปะไปมาเต็มทั่วถนน
ซึ่งกว่าจะมาถึงสำนักงานฯ ก็เลยเวลานัดกับฟาวเลอร์ไปมากโข สองเท้ารีบก้าวยาวตรงไปยังห้องของผู้กองที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังดูง่วนงุ่นกับเอกสารอะไรบางอย่างอยู่ เกวินนึกแปลกใจที่อีกฝ่ายดูต่างจากปกติไป เพราะหากมีใครมาส่งสรุปคดีสายก็คงทำหน้าเป็นหมีอดกินน้ำผึ้งไปแล้ว... แต่นั่นก็ดี อย่างน้อยเกวินก็คิดว่าดีกว่าเจ้าตัวจะต้อนรับตนด้วยสีหน้าแบบนั้นล่ะนะ
“ขอโทษ! ที่มาสาย...” เกวินตะโกนออกไปทันทีที่ผลักประตูนั่นเข้าไป
สาบานได้ว่าเมื่อครู่เขาแอบเห็นฟาวเลอร์สะดุ้งพร้อมกับสบถออกมาเสียงเบา แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมารู้สึกขำขันอะไร เกวินค่อยๆ เขยิบพาตัวเองไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะของผู้กองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่สู้ดีนัก
ในหัวของเขาพยายามนึกหาข้อแก้ตัวตั่งต่างนานาที่จะบอกออกไป หวังให้คนตรงหน้าเผื่อจะเข้าใจขึ้นมาสักนิดนึง แต่ยังไม่ทันจะได้นึกอะไรไปมากกว่านั้นเสียงของฟาวเลอร์ก็ดังขัดให้ความคิดเขาเตลิดไปหมด
“ไง สวัสดียามสายนะรี้ด”
ซ้ำเติมเก่ง... เกวินแทบอยากจะเบ้ปากออกมาเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยทักตนแบบนั้น
“สวัสดี เอ่อ... ฉันขอโทษที่สาย...” เขาถอนหายใจออกมา “นอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่...”
“อ่าฮะ ก็พอเดาได้จากสีหน้าของนาย” ฟาวเลอร์พูดติดหัวเราะเล็กน้อย ผู้กองวัยกลางคนเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้พร้อมขยับแขนสองข้างขึ้นกอดอกก่อนเลิกคิ้วมองกลับไปที่คู่สนทนาของตน “แล้ว...?”
ตำรวจสืบสวนหนุ่มอึกอัก
“ฉันไม่ได้จะแก้ตัวอะไรที่มาสาย เพราะฉันก็ตื่นสายจริงๆ นั่นล่ะนะ... แต่จะสรุปคดีที่ปิดไปเมื่ออาทิตย์ก่อนหน้านี้...” เกวินพูดออกไปยาวยืด เขาผ่อนหายใจเล็กน้อยคลายความรู้สึกที่แน่นจุกอยู่ในอก แต่ยังไม่ทันจบประโยคนั้นเสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นตัดประโยค
“ไม่ต้องหรอก”
แน่นอนว่าเกวินตกใจ เขากะพริบตามองผู้กองอยู่สองสามครั้งก่อนที่เรียวคิ้วนั่นจะขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ เพราะถึงแม้เขาจะมาสาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่คิดรับผิดชอบงานของตัวเอง และนั่นเป็นคดีที่โคตรสำคัญอีกคดีที่เขาตั้งใจมากๆ ทำไมถึง...
“เฮ้ อย่าทำหน้าเหมือนกำลังจะตวาดฉันสิรี้ด” ฟาวเลอร์ส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกับเสียงระอา “เรื่องคดีนั้นน่ะ แดร์เรนจัดการสรุปแทนนายไปแล้วล่ะ”
‘แดร์เรนจัดการสรุปแทนนายไปแล้วล่ะ’ ประโยคที่ฟาวเลอร์บอกเขายังคงวนเวียนอยู่ในความคิดมานานนับสามชั่วโมงที่ผ่านมา
เขาก็พอเข้าใจอยู่หรอกถ้าหากแอนดรอยด์ตัวนั้นคิดอยากจะไปส่งสรุปคดีแทนตน เพราะยังไงคดีนี้เขาทั้งสองก็ผ่านมันมาด้วยกันทั้งคู่ และอีกฝ่ายก็คงมีข้อมูลคดีทั้งหมดอยู่ในฐานระบบอะไรนั่นอยู่แล้ว แต่... เกวินไม่เข้าใจสักนิด นั่นมันหน้าที่ของเขาไม่ใช่รึไง
“ไม่เห็นต้องยื่นมือเข้ามายุ่ง” เขาพึมพำอย่างหงุดหงิดในขณะที่กดนิ้วลงบนจอเล่นเกมส์โทรศัพท์ “คิดจะไปแล้วก็ไปลับเลยไม่ได้รึไงวะ วุ่นวายจริงโว้ย! ไอ้เวร! นั่นมันของฉันนะโว้ย!”
คริส ที่เดินผ่านโต๊ะทำงานของเกวินสะดุ้งเล็กน้อย เขาไม่มั่นใจนักว่าตำรวจสืบสวนหนุ่มอดีตคู่หูตัวเองกำลังโวยวายเรื่องโดนแย่งไอเทมในเกมส์หรือว่าเรื่องที่โดนแอนดรอยด์สืบสวนตัวนั้นแย่งส่งสรุปคดีไปกันแน่ คิ้วของเกวินแทบจะผูกกันเป็นปม ในขณะที่เท้าข้างหนึ่งเตะขวดน้ำพลาสติกตกจากโต๊ะทำงานไปแล้ว
เพราะวันนี้ไม่มีคดีอะไรต้องทำ เกวินจึงเอกเขนกอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองได้โดยที่ไม่มีใครเข้ามาขัดเพราะทุกคนเองก็ต่างวุ่นกับงานของตัวเองกันทั้งนั้น
“นี่ ขวดน้ำของนาย” เจ้าพนักงานที่ทำงานจิปาถะไปเสียทุกอย่าง อย่างคริส วางขวดน้ำนั่นลงบนโต๊ะนอกระยะที่เขาคิดว่าเจ้าของมันจะสามารถขยับขาไปโดนได้อีก
“ขอบใจ” คำตอบรับห้วนและสั้นโดยไม่มีแม้กระทั่งการหันมามองใบหน้าของคู่สนทนา คริสส่ายหัวปลงกับนิสัยนั้นของเกวิน อาจจะเพราะเขาคงชินไปแล้วเลยไม่ได้คิดถือสากับนิสัยที่ไม่ดีนี่สักเท่าไหร่
“คิ้วแทบจะเป็นปมอยู่แล้วเกวิน”
“เรื่องของฉันน่าคริส” น้ำเสียงนั่นยังคงเต็มไปด้วยความหงุดหงิด สองนิ้วที่จิ้มลงบนจอโทรศัพท์นั่นดูรุนแรงเสียจนคริสเผลอคิดสงสารหน้าจอโทรศัพท์ของอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ
เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนช่างสังเกตอะไรนัก แต่เพราะว่าเขาเองก็ได้เกวินช่วยไว้หลายครั้งตอนที่บรรจุเข้าทำงานที่นี่ใหม่ๆ จนได้สนิทกัน มันก็คงไม่แปลกนักหากเขาจะเห็นว่ารุ่นพี่ของตนคนนี้เปลี่ยนไปยังไงบ้างในเกือบรอบเดือนนี้
“นี่นายยังทำใจเรื่องแดร์เรนไม่ได้อีกเหรอ”
“...” ตำรวจสืบสวนหนุ่มแทบหยุดชะงัก คิ้วที่เป็นปมเมื่อครู่นั่นคลายออกในทันทีพร้อมกับท่าทางที่เปลี่ยนไป “เหอะ ไอ้หุ่นกระป๋องเวรนั่นน่ะเหรอ...”
คริสเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปนั้นควรหรือไม่เมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักค้างไปไม่ถึงสองวินาทีก่อนที่เจ้าตัวจะกลับไปกดเกมส์บนหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง ซึ่งเขาก็เข้าใจหากคนตรงหน้าไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องนั้นมากนัก
“เอาเถอะ ฉันไม่ได้อยากจะวุ่นวายหรืออะไรหรอก นายก็รู้ว่าฉันแค่เป็นห่วง” คริสส่ายหัวปลงก่อนจะขยับตัวออกจากโต๊ะทำงานของเกวิน “แล้วก็นอนพักซะบ้างเกวิน ใต้ตานายโคตรดูไม่ได้เลยด้วย”
“พูดมากชะมัด จะไปไหนก็ไป” เขาชูนิ้วกลางไล่หลังเจ้าพนักงานคนสนิทไปโดยที่ไม่ได้เงยหน้าไปมองด้วยซ้ำ หลังจากเสียงฝีเท้านั้นห่างออกไป เกวินก็วางโทรศัพท์ของตนลงบนโต๊ะทำงานก่อนขยับท่าทางให้กลับมานั่งแบบปกติ “นายจะไปรู้อะไร”
พูดตามความจริง เขาไม่ได้หัวเสียที่ถูกแดร์เรนแย่งสรุปคดีไป นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความขุ่นข้องในใจตอนนี้แม้แต่นิด แต่เป็นเพราะเขากำลังไม่เข้าใจต่างหาก ในเมื่อพวกเขาทั้งคู่จบกันไปแล้วอีกฝ่ายก็ไม่น่าคิดจะมาวุ่นวายอะไรอีกไม่ใช่หรือไง
คนที่เลือกจะเดินจากไปแล้วก็ตัดสินใจว่าจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับเขาอีก มันก็คือฝั่งนั้นไม่ใช่รึไง
แล้วในเมื่อเป็นแบบนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายยังคงเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องของเขาตลอดแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่เกวินจะทำใจได้เสียทีว่าที่ข้างกายตรงนี้ไม่ได้มีใครอีกคนยืนอยู่ข้างกันเหมือนเดิมอีกแล้ว
“ถ้าอยากจะไปนักก็ช่วยไปให้ไกลจากฉันจริงๆ สักทีได้ไหมแดร์เรน...” คิ้วเรียวขมวดมุ่นขึ้นบนใบหน้าที่แนบชิดกับโต๊ะทำงาน เสียงอู้อี้นั้นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโรยอยู่ภายใต้วงแขนของตน “...เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับความรู้สึกพวกนี้แล้ว”
50%