top of page

(FFXV fanfiction) STAY (BESIDE) - 0 : Dear Life

0

Dear Life

นี่ไม่ใช่ที่ของผม

ณ ที่ตรงนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของผม ต่อให้ในตอนนี้ผมกำลังครอบครองมันอยู่ก็ตาม…

รวมถึงเขาด้วยเช่นกัน

ชีวิตประจำวันปกติของ 'พรอมพ์โต อาร์เจนทัม' ดำเนินไปเฉกเช่นทุกวัน ชีวิตประจำวันของเด็กไฮสคูลเกรดสิบไม่มีอะไรหวือหวา ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่มีอะไรพิเศษ… พรอมพ์โตเคยนึกขอบคุณที่ครั้งนึงเขาได้มีชีวิตรอดจากเงื้อมมืออดีตที่แสนโหดร้าย แต่มาวันนี้ เขากลับคิดไม่ตกแล้วว่าอะไรที่จะทำให้ชีวิตเขาของมีคุณค่ามากกว่ากัน ระหว่างการโดนจับไปทดลอง Mts หรือใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ปกติ

เขาก้าวขาออกจากห้องเรียนเมื่อสัญญาณพักเที่ยงดังไปทั่ว กล่องข้าวขนาดพอดีถูกถือออกไปแนบตัว การไปหาที่เงียบๆ กินข้าวเที่ยงก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องในชีวิตประจำวันของเขา ไร้เพื่อนฝูง มิตรสหาย หรืออะไรก็ตามที่หมายถึงการมีสังคม เขาชินชากับเรื่องพรรค์นั้น เลิกเฝ้าฝันถึงการสร้างมิตรภาพที่คิดว่ามันไม่มีทางเป็นจริง

แววตาที่คนเหล่านั้นทอดมองมาเมื่อรู้ว่าเขาเกิดมาจากที่ใด ชาติกำเนิดที่แตกต่างจากทุกคนในเมืองทำให้เขากลายเป็นแกะดำในสังคม เขาเคยร่าเริงและคิดว่าสักวันนึงสิ่งที่เขาพยายามปั้นขึ้นมาจะทำให้เขามีความสุข แต่ไม่เลย เขาคิดผิด ยังไงเสียเขาก็เป็นชนชาวนิฟเฟิลไฮม์และมันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ริสแบนด์ที่ข้อมือด้านขวาเป็นสิ่งเดียวที่พยายามปกปิดว่าเขาเคยเป็นใครมาก่อน การย้ำเตือนนั่นเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขาหยิบมันขึ้นมาสวมทับร่องรอยน่าเกลียดชัง แต่มันก็เหมือนไม่ช่วยอะไรเมื่อครั้งนึงที่เขาเคยเปิดใจกับเพื่อนคนนึงถึงอดีตของตัวเอง และคนๆ นั้นรับไม่ได้เกี่ยวกับชาติกำเนิดของเขา เรื่องที่เขาเป็นชนชาวนิฟเฟิลไฮม์สะพรัดไปทั่วจนสุดท้ายก็ไม่มีใครคบหากับเขาอีก

เป็นเขาเองที่พลาด พลาดคิดว่าชนชาวลูซิสสักคนจะให้โอกาส มองข้ามเรื่องชาติกำเนิดที่เขาไม่เคยต้องการและหยิบยื่นสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพมาให้ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาสร้างกำแพงที่มองไม่เห็น กันตัวเองออกจากคนอื่นๆ ไม่คิดที่จะเข้าหาใครและพร้อมที่จะผลักไสใครสักคนที่เข้ามาให้ออกไปก่อนที่อะไรๆ จะแย่ลง

พรอมพ์โตสบัดหัวเอาความคิดไร้สาระที่แสนน่าเบื่อนั่นออกไป เขาสมควรจะชินกับมันจริงๆ ด้วยการไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้เสียที สองขาของเขาก้าวยาวตรงไปที่บันไดทางขึ้นชั้นดาดฟ้า ที่ที่สงบ ไร้ซึ่งผู้คนที่ชวนอึดอัด อย่างน้อยก็มีแค่เวลาพักเที่ยงเท่านั้นที่เขาสามารถอยู่ตัวคนเดียวโดยไร้ซึ่งผู้คนรอบกาย

แต่วันนี้กลับไม่เป็นดังที่หวังเมื่อเขาผลักประตูชั้นดาดฟ้าให้เปิดออกและพบว่ามีคนจำนวนนึงอยู่ที่นั่น นั่งอยู่ตรงที่ประจำของเขา

แววสะท้อนความผิดหวังวูบไหวอยู่ในดวงตาสีเดนิม เขาควรจะรู้ว่าพื้นที่ดาดฟ้าไม่ใช่ที่ต้องห้ามและนั่นหมายความว่าใครๆ ก็สามารถขึ้นมาที่นี่ได้ทั้งนั้น

แต่ถึงจะรู้แบบนั้น พรอมพ์โตก็อดที่จะตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ว่า จะมีสักที่ไหมที่เป็นที่สำหรับเขา

พรอมพ์โตเดินหลีกคนพวกนั้นไปอีกทาง อย่างน้อยดาดฟ้าที่โรงเรียนก็ไม่ได้แคบจนไม่มีที่ตรงอื่นให้เขานั่ง เขาเลือกมุมที่สามารถมองเห็นสนามบอลข้างล่างได้ อย่างน้อยเสียงเจื้อยแจ้วของคนพวกนั้นอาจจะช่วยกลบความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองในตอนนี้

ข้าวกล่องถูกเปิดออกและถูกจัดการทีละนิด ไส้กรอกหน้าตาน่ารักถูกส่งเข้าปากโดยที่ตัวเองไม่ได้สนใจพินิจพินัยมันเท่าไหร่ เคี้ยวอยู่สามสี่ครั้งก่อนจะกลืนมันลงท้องไป และเขาก็ทำอย่างนั้นกับพวกที่เหลือในกล่องข้าว ทุกอย่างดูดำเนินไปเรียบๆ เหมือนทุกวัน ไม่มีอะไรแปลกไป

จะต่างออกไปก็มีแต่คนกลุ่มนั้นที่เผอิญเจอตอนขึ้นมาที่ดาดฟ้านี่กำลังเดินตรงเข้ามา

พรอมพ์โตเลือกที่จะไม่สนใจ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสนใจอยู่แล้ว ไข่หวานที่นอนขดเป็นก้อนในกล่องข้าวถูกคีบเข้าปากไปอีกชิ้นในขณะที่ใครสักคนในสนามเตะบอลเข้าประตู

เสียงเฮดังลั่นอยู่ข้างสนาม เพื่อนของคนๆ นั้นกู่ร้องด้วยความดีใจประหนึ่งเขาทำประตูสำคัญได้

มันก็แค่การเล่นบอลตอนพักเที่ยง ไม่เห็นมีอะไรที่ชวนให้ดีใจขนาดนั้นเสียหน่อย – คิ้วเรียวสีโกลเดนบลอนด์เฉดเดียวกับสีผมของเจ้าตัวถูกขมวดเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจถึงความยินดีที่เกินเหตุตรงหน้า และมันผูกกันเป็นปมหนักกว่าเก่าเมื่อสัมผัสได้ว่าข้าวกล่องในมือหลุดลอยออกไป

เท้าของใครสักคนที่ถูกยื่นออกมาอยู่ตรงหน้ากำลังทำให้เขาไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่กำลังเจอ

หน้ายุ่งๆ ของพรอมพ์โตเงยขึ้นมองผู้มาเยือน ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ว่าตัวเองถูกถีบด้วยเท้าข้างนั้น ร่างกายที่ปะทะกับซี่กรงกันระเบียงดาดฟ้าทำให้เขามึนชาไปชั่วครู่

นี่มันบ้าอะไรกัน… – นั่นคือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจในขณะที่พยายามไล่ความมึนไปให้พ้น

เสียงหัวเราะสะใจดังอื้ออึงเข้ามาในโสตประสาท พรอมพ์โตสบัดหัวอีกสองสามครั้งก่อนเพ่งจ้องกลุ่มคนตรงหน้า เขามั่นใจว่าตัวเองไม่รู้จักคนพวกนี้และมั่นใจว่าไม่เคยไปทำอะไรให้ เขาจึงยิ่งไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังเจอกับเรื่องอะไร

ไร้สิ่งใดเอื้อนเอ่ยออกจากปากของเขาและจากชายตรงหน้าเช่นกัน มีเพียงเสียงหัวเราะที่ชวนหงุดหงิดจากคนที่เหลือในกลุ่ม

มีอะไรตลกนักหรือไง – พรอมพ์โตอยากเอ่ยถามออกไป แต่เขาเลือกที่จะสงบปากสงบคำและก้มลงเก็บกล่องข้าวที่ตกอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม การหลีกเลี่ยงการมีเรื่องดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในเมื่อตอนนี้เขามีแค่ตัวคนเดียวแต่อีกฝ่ายมีคนอยู่กันถึงห้าคน

แต่ไม่ทันที่มือจะเอื้อมไปเก็บกล่องข้าว เท้าข้างเดิมของชายตรงหน้าก็ส่งแรงถีบเข้ามาอีกครั้ง

“คิดจะทำอะไรของแก หืม? ไอ้นิฟเฟิลไฮม์" คำเหยียดหยันชาติกำเนิดถูกส่งออกมาทันทีที่ร่างกายของพรอมพ์โตปะทะเข้ากับซี่กรงอีกครั้ง "ทำไมล่ะ? ไม่คิดจะสู้หน่อยหรือไง?”

อาการจุกทำให้พรอมพ์โตพูดอะไรไม่ออก ความมึนเข้าครอบงำสติอีกครั้ง เขาพยายามมองใบหน้าของชายตรงหน้าที่ลางเลือนแต่ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายกำลังมีสีหน้าสะใจมากแค่ไหน

หึ… ไอ้นิฟเฟิลไฮม์อย่างงั้นเหรอ นั่นคือเหตุผลที่มาหาเรื่องกันแบบนี้สินะ? – พรอมพ์โตสรุปเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ถึงจะอย่างนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนหาเรื่องตรงๆ เพราะชนชาติกำเนิดของตัวเอง

เขาอยากสู้กลับ… มือสองข้างถูกกำแน่นตอนที่อีกฝ่ายเข้ามากระชากคอเสื้อ แต่เพราะอาการจุกที่แล่นแปลบตรงช่องท้องทำให้พรอมพ์โตทำได้เพียงขมวดคิ้วและข่มอารมณ์หงุดหงิดเอาไว้

“น่าสมเพชเป็นบ้าเลยว่ะ เห็นหน้าแกลอยไปลอยมาในโรงเรียนแล้วมันหงุดหงิดจริงๆ โว้ย!” พรอมพ์โตไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปอัดอั้นความเคียดแค้นเขามาจากไหน ชายตรงหน้าปล่อยกำปั้นหลุนๆ เข้ามากระแทกใบหน้าจนทำให้เขาเซไปข้างๆ และความมึนก็ทวีคูณขึ้นอีกเมื่ออีกฝ่ายปล่อยหมัดอีกข้างสวนมาอีกทาง

"ทำไมแกถึงไม่ไสหัวกลับบ้านเกิดของแกไปสักทีวะ!” ชายคนนั้นยังคงอัดเขาราวกับอัดกระสอบทราย กลิ่นคาวเลือดเหม็นหืนลอยปะทะเข้าจมูก พรอมพ์โตคิดว่าสักส่วนบนใบหน้าของเขาคงแตกไปแล้ว และร่างกายของเขาก็จุกชาเกินจะขยับและตอบโต้

ร่างกายของพรอมพ์โตล้มลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงเมื่ออีกฝ่ายปล่อยมือออกจากคอเสื้อ เขานอนขดลำตัวตามสัญชาตญาณเมื่อกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาทำร้ายร่างกายอีก

ใช่… น่าสมเพชชะมัด – พรอมพ์โตคิดเยาะตัวเองอยู่ในใจในขณะที่ร่างกายนอนนิ่งอยู่บนพื้น ถ้าเขารู้ว่าตัวเองต้องมาเจออะไรแบบนี้ที่อาณาจักรลูซิส เขาคงยอมอยู่ที่นั่น อยู่ที่นิฟเฟิลไฮม์ ยอมถูกจับเป็นหนูทดลองในโครงการบ้าๆ นั่นคงดีเสียกว่ามาเจอกับเรื่องราวน่าปวดใจที่กำลังเผชิญ

ในตอนนี้เขาไม่สามารถตอบโต้อะไรอีกฝ่ายได้เลยนอกจากกัดฟันทนนอนนิ่งๆ ให้คนพวกนั้นอัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ถึงพวกนั้นยอมหยุดลง ร่างกายของเขาด้านชาเกินที่จะรับรู้และสติก็ลางเลือนใกล้ที่จะดับลง เขาได้ยินเสียงคนพวกนั้นโวยวายอยู่ไกลๆ และเสียงใครสักคนที่ไม่คุ้นหูพูดอะไรบางอย่าง

คำกล่าวขอโทษอย่างละล่ำละลักดังไกลออกไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เบาลง คนพวกนั้นจากไปแล้ว เหลือเพียงแต่ผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใครสักคนที่เขาไม่รู้จักเดินเข้ามาใกล้และย่อตัวลงมานั่งจ้องมอง

ไม่ว่าจะเป็นใคร พรอมพ์โตอยากเอ่ยคำขอบคุณที่เข้ามาช่วย แต่ร่างกายของเขาตอนนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากส่งเสียงครวญในลำคอด้วยความเจ็บปวด

เพราะสายตาที่ยังไม่สามารถมองอะไรได้ชัดเจน เขาเห็นเพียงชายตรงหน้ายื่นฝ่ามือออกมา ในขณะที่พรอมพ์โตหลับตาลงและภาวนาให้คนๆ นี้ไม่ทำร้ายเขาเหมือนกับคนพวกนั้น แค่นี้ร่างกายของเขาก็บอบช้ำมากเกินไปที่จะได้รับแผลอื่นเพิ่ม

แต่ดวงตาที่เพิ่งปิดลงก็ต้องเบิกกว้างเมื่อมือข้างนั้นวางแหมะลงบนหัวและลูบเส้นผมของเขาแผ่วเบา

“ไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก" เสียงนั่นให้ความอบอุ่นอย่างประหลาด และน้ำตาของพรอมพ์โตก็เริ่มไหลริน

“ฉันน็อคทิส แล้วนายล่ะ?”

...

100%

talk.

ทยอยลงบล็อกเพราะเด็กดีเริ่มจะเอ๋อแล้วค่ะ ฮือ

ติชมได้เสมอนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ♥︎


bottom of page