(Overwatch fanfic) House of memories #Reaper76
House of Memories
Pairing : Reaper76 (Reaper x Soldier 76)
Author : Alweirno | Genre/Rate : SF/PG-13
Theme song : House of Memories (by Panic! At The Disco)
* warning *
Slash & Not based on game info 89.99%
Part 1 : Ruin | Part 2 : House of memories | Part 3 : soon..
_____________________
การที่มีกอริลล่ายักษ์ใส่ชุดเกราะคล้ายๆ กับชุดอวกาศมานั่งจ้องหน้าไม่ใช่เรื่องน่าสบอารมณ์สักนิด เรเยสคิดแบบนั้นในใจ-- เขากำลังหงุดหงิด หัวเสีย และร้อนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ฉันขอถามนายอีกครั้งว่านายจับตัวพลทหาร 76 ไปทำไม !” วินส์ตันคือชื่อของกอริลล่ายักษ์ตัวนั้น คำถามที่น่าเอียนจากปากลิงนั่นทำให้เรเยสได้แต่กลอกตาอยู่ภายใต้หน้ากากของตัวเอง
“ฉันก็ตอบไปกี่ครั้งแล้วว่าไม่ไ่ด้จับไป ไม่ได้อยากกักขังหมอนั่นไว้เพื่อล้วงข้อมูลอะไรของพวกแกทั้งสิ้น ทีแรกฉันตั้งใจจะฆ่าหมอนั่นด้วยซ้ำ" เสียงแหบต่ำตอบกลับอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะหมดความอดทนกับเขาเต็มที "และมันไม่ใช่เรื่องที่แกมาสมควรสนใจตอนนี้ พรรคพวกของแกโดนพวกองค์กรทาลอนจับตัวไป สิ่งที่พวกแกสมควรทำคือไปช่วยหมอนั่น ไม่ใช่มานั่งสอบปากคำฉัน"
“แล้วทางเราจะเชื่อใจแกได้ไงว่านี่ไม่ใช่แผนการเพื่อล่อให้พวกเราไปติดกับ !” ลิงนั่นตะคอกใส่เขาอีกรอบ เรเยสได้แต่นึกรำคาญในใจ ถ้าไม่ติดว่าต้องการความช่วยเหลือจากคนพวกนี้เขาคงจะได้หยิบปืนข้างกายยิงกราดไปทั่วสำนักงานของหน่วยโอเวอร์วอชเป็นแน่
“ฉันไม่มีหลักประกันอะไรมาซื้อใจพวกแกหรอกนะ" รีปเปอร์นิ่งไปสักพัก เขาใช้ความคิดอย่างหนักก่อนที่จะพูดประโยคต่อไป "แต่.. พลทหาร 76 เป็นคนรักของฉัน"
- House of Memories -
มอร์ริสันรู้สึกตัวหลังจากที่ถูกทำให้สลบไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ห้องที่ปกคลุมไปด้วยความมืดและเขาไม่สามารถมองอะไรเห็นนั่นทำให้รู้ว่าตัวเองถูกถอดหน้ากากที่เคยสวมใส่ออกไป เขานึกสบถในใจเมื่อรับรู้ว่าร่างกายของตัวเองก็ถูกพันธนาการติดไว้กับเสาปูน
มืดขนาดนี้คิดว่าฉันจะทำอะไรได้หรือไง – มอร์ริสันนึกอย่างหัวเสีย เขาพยายามขยับตัวเพื่อหวังให้เชือกที่มัดตัวเองได้คลายลงบ้างแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“เลิกพยายามเถอะพลทหาร" เสียงของวิโดว์เมคเกอร์ดังขึ้นจากมุมห้อง เธอซ่อนรอยยิ้มชั่วร้ายของตัวเองไว้ในความมืดมิด วิโดว์สาวเท้าเข้าใกล้อีกฝ่ายที่กำลังมองหาเธอ "ไม่มีหน้ากากนั่นแล้ว นายก็ไม่มีทางมองเห็นฉันหรอก ห้องนี้มีระดับความมืดเกินที่คนปกติแบบนายจะปรับสายตาให้มองเห็นได้น่ะพลทหาร"
“เธอต้องการอะไรจากฉัน !” มอร์ริสันตะโกนถามออกไป
ในความมืดที่มอร์ริสันไม่สามารถมองอะไรเห็นได้ วิโดว์เมคเกอร์ยืนมองอีกคนด้วยสายตาสมเพช ริมฝีปากของเธอเหยียดยิ้มอย่างพอใจ "ตัวฉันไม่ไ่ด้ต้องการอะไรจากนายเลยพลทหาร 76 เพราะสิ่งที่ฉันต้องการมีเพียงอย่างเดียวคือความสะใจที่จะได้เห็นหมอนั่นเสียใจ"
“หมอนั่น ? เธอพูดถึงรีปเปอร์เหรอ" มอร์ริสันเอ่ยถาม "แล้วเธอจับตัวฉันมาทำไม" เขายังคงไม่เข้าใจจุดประสงค์ในการที่อีกฝ่ายจับตัวเขามา
“องค์กรของฉันอาจจะอยากได้ตัวนายมาเพื่อล้วงข้อมูลของหน่วยโอเวอร์วอชล่ะมัั้ง ส่วนฉันก็แค่เห็นว่านายกับรีปเปอร์มีความมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันมาก่อน" วิโดว์จงใจเน้นเสียงที่คำว่าลึกซึ้งในประโยค "ก็แค่คิดว่านายน่าจะเป็นนกต่อให้ฉันบรรลุความสะใจส่วนตัวได้ก็แค่นั้น"
“งั้นเธอก็คงคิดผิดแล้วล่ะวิโดว์เมคเกอร์" มอร์ริสันตอบอีกคนเสียงเรียบ "เพราะเรื่องของฉันกับรีปเปอร์มันจบไปนานแล้ว"
“เป็นไง พลทหาร 76 บอกข้อมูลอะไรกับเธอมาบ้าง" รองหัวหน้าหนุ่มขององค์กรทาลอนเอ่ยถามทันทีที่วิโดว์เมคเกอร์ก้าวเท้าออกมาจากห้องคุมตัวเจ้าของชื่อในประโยค เขายืนถือหน้ากากของพลทหาร 76 พลางพลิกมันดูไปมา
เธอยักไหล่เล็กน้อยแทนคำตอบให้กับเขา
“งั้นเหรอ หมอนั่นไม่ยอมพูดสินะ" เขายังคงถามต่อ แต่ก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่วิโดว์เมคเกอร์เลือกใช้แทนคำตอบ
เธอเดินจากคู่สนทนามาโดยไม่อยู่ฟังคำถามอะไรอีก ตอนนี้ตัวเธอเองไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากตอบคำถามใครทั้งนั้น ตอนนี้ในหัวของวิโดว์เต็มไปด้วยความคิดจากบทสนทนาระหว่างเธอกับพลทหาร 76 เรื่องที่คุยถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับภารกิจที่เธอได้รับมอบหมายมาแต่ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องรีบร้อนล้วงข้อมูลของหน่วยโอเวอร์วอช เธอมีเรื่องส่วนตัวที่เธออยากรู้ให้ได้มากกว่าเรื่องของพวกนั้น..
ความคิดของเธอหวนกลับไปบทสนทนาที่เธอกับอีกฝ่ายได้คุยกัน
‘นายจะบอกว่าที่รีปเปอร์ไม่ฆ่านายเป็นเพราะหมอนั่นอยากไว้ชีวิตนายโดยไร้เหตุผลงั้นสินะ ?’
‘หมอนั่นบอกกับฉันตอนที่ฉันฟื้นขึ้นมาว่าต้องการข้อมูลของหน่วยโอเวอร์วอชถึงได้ไม่ฆ่าฉัน'
‘นายเชื่องั้นเหรอพลทหาร 76 ? หึ' นายไม่เห็นสายตาและการกระทำของรีปเปอร์ตอนที่นายสลบน่ะสิ – เธอคิดในใจ
‘ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องบอกกับเธอ วิโดว์เมคเกอร์'
‘ปากกล้าดีนี่ ไม่รู้สถานะของตัวเองตอนนี้เลยหรือไง'
‘แล้วเธออยากมารู้เรื่องที่หมอนั่นไม่ฆ่าฉันทำไมล่ะ ? เธอต้องการอะไรกันแน่'
เธออึกอักกับคำถามนั้น 'เปล่านี่..’ เสียงของเธอแผ่วลงโดยที่เธอไม่รู้ตัวเอง
‘หรือว่า.. เธอชอบหมอนั่น ?’ พลทหาร 76 ถามเสียงสงสัย ในความมืดนั่นวิโดว์ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้ายังไงตอนถามเธอ และเธอนึกขอบคุณความมืดที่ทำให้อีกฝ่ายไม่เห็นสีหน้าเธอในตอนนี้เหมือนกัน
'เธอชอบรีปเปอร์สินะ ?’
คำถามจากอีกฝ่ายคาดคั้นจะเอาคำตอบทำให้เธอรู้สึกกลายเป็นคนที่โดนต้อนจนมุมเสียเองและเธอไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ วิโดว์เผลอขบริมฝีปากของตัวเองแรงจนเกือบห้อเลือด
‘หุบปากของนายเดี๋ยวนี้พลทหาร'
‘หึ .. เธอชอบหมอนั่นจริงๆ ด้วย' อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง 'หรือเธอหวังจะฆ่าฉันเพื่อให้หมอนั่นหันมามองเธอเหรอ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ' อีกฝ่ายตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงเรียบราบอย่างคาดเดาอารมณ์ไม่ได้
‘ทำไมล่ะ ?’
‘หมอนั่นน่ะ.. รักใครไม่เป็นหรอก' เสียงของพลทหาร 76 แผ่วลง เสียงที่เจือความเศร้านั่น--
วิโดว์เมคเกอร์แสดงสีหน้าหงุดหงิดเมื่อนึกถึงน้ำเสียงในประโยคสุดท้ายที่พลทหาร 76 ตอบเธอ เสียงของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ยังโหยหาอะไรสักอย่างในอดีตของเขา เธอไม่ชอบน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์ของพลทหาร 76 ที่พูดถึงรีปเปอร์ เธอรู้สึกหงุดหงิดจนอยากทำลายเจ้าของเสียงนั่นให้หายไปจากโลกใบนี้ซะ !
- House of Memories -
บรรยากาศมึนตึงคละคลุ้งไปทั่วห้องประชุมเล็กๆ ห้องหนึ่ง ณ ฐานของหน่วยโอเวอร์วอช
“เน่~ เลิกมึนตึงใส่กันแล้วมาช่วยกันคิดแผนก่อนดีมั้ย" เทรเซอร์พูดพลางมองหน้าวินส์ตันและรีปเปอร์ที่กำลังจ้องหน้ากันราวกับจะฆ่ากัน
“ฉันไม่หน้าถอดหน้ากากนี่เลย ให้ตายสิ" รีปเปอร์สบถพลางเหล่มองไปที่หน้ากากกะโหลกสีขาวที่ถูกวางอยู่ข้างตัว
“ถ้านายไม่บอกว่านายคือเรเยส ฉันก็ไม่มีทางเชื่อใจนายหรอกนะ" วินส์ตันบอกกับอีกฝ่าย "ใครจะไปคิดว่านายคือแกเบรียล เรเยส หัวหน้าหน่วยแบล็ควอชที่เสียชีวิตไปน่ะ"
“แจ๊คไม่เคยพูดถึงฉันเลย ?” เรเยสเลิกคิ้วถามอีกคนอย่างสงสัย
“ไม่เคย" วินส์ตันตอบ "เขาก็เพิ่งกลับมาที่นี่ได้ไม่กี่ปีมานี้หลังจากที่ฉันเรียกตัวทุกคนในหน่วย อ้อ.. หรือจะพูดว่าเป็นวันที่นายมาบุกเพื่อขโมยข้อมูลดีล่ะ ?" วินส์ตันทำเสียงฮึดฮัด
เรเยสไม่ตอบอะไรแต่จ้องอีกฝ่ายกลับไปด้วยสายตาที่ต้องการจะหาเรื่อง เทรเซอร์ที่หเ็นท่าไม่ดีก็รีบโบกไม้โบกมือห้ามไม่ให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน เขาเห็นแบบนั้นเลยได้แต่ถอนหายใจก่อนจะละความสนใจออกจากลิงยักษ์ตรงหน้า
เรเยสมองแผนที่โครงสร้างภายในตึกขององค์กรทาลอนที่อยู่ตรงหน้าอย่างใช้ความคิด ตัวเขาเองสามารถผ่านระบบความผลอดภัยของที่นี่เข้าไปได้สบายๆ อยู่แล้ว แต่เจ้าพวกที่เหลือนี่สิ..
“วินส์ตัน นายสามารถใช้ยัย AI สุดฉลาดของนายเจาะระบบรักษาความปลอดภัยของที่นั่นได้มั้ย ?”
“ฉันไม่ใช่ยัย AI-- ฉันชื่ออะธีน่า" เสียงจากคอมพิวเตอร์ที่มีระบบการจัดการสูงอย่างอะธีน่าตอบคนที่พูดถึงเธอ
“อะธีน่าทำได้" วินส์ตันตอบคนตรงหน้า เรเยสครางรับในลำคอแผ่วเบาพลางพยักหน้าช้าๆ
“อืม..” เขากำลังใช้ความคิด "ฉันเข้าไปที่นั่นได้สบายๆ อยู่แล้ว ฉันเคยเข้าไปเพื่อติดต่องานกับที่องค์กรนั้น 4-5ครั้ง ระบบและโครงสร้างภายในที่นั่นฉันค่อนข้างมั่นใจว่ารู้จักเป็นอย่างดี" เรเยสชะงักไปสักพักนึงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นาน "หึ อย่างนี้เองสินะถึงอยากฆ่าฉันให้ตาย เจ้าพวกนั้น !” เขาพึมพำกับตัวเองเสียงแข็งพลางกำหมัดแน่น อยู่ดีๆ สีหน้าของเรเยสก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจนวินส์ตันเห็นท่าไม่ดี
“นายเป็นอะไรขึ้นมาน่ะรีปเปอร์" วินส์ตันเอ่ยถามอีกฝ่าย เขาหันไปส่งสายตาให้เทรเซอร์เตรียมตัวถ้าหากรีปเปอร์มีท่าทีที่จะอาละวาด "เห้ย เป็นอะไรไป !” เขาตะคอกใส่อีกคนที่กำลังจมอยู่ภวังค์ความคิด
รีปเปอร์สะดุ้งนิดนึงทันทีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่าย "เปล่า.. เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร" เรเยสตอบวินส์ตัน
“เมื่อกี้นายพึมพำอะไรคนเดียว" สายตาไม่ไว้ใจของวินส์ตันถูกส่งมาให้ เรเยสส่ายหน้าช้าๆ เป็นคำตอบให้อีกฝ่าย "เปล่า ก็แค่คิดอะไรได้นิดหน่อย"
“อะไรล่ะ ?”
“ดูแผนที่นะ.. ตรงนี้เป็นทางเข้า" เรเยสใช้ปากกามาร์คเกอร์สีขาวจุดลงไปบนพิมพ์เขียวของแผนที่จุดหนึ่งก่อนจะลากไปอีกจุดนึงที่อยู่ไม่ไกลกันมาก "ส่วนตรงนี้เป็นระบบรักษาความปลอดภัย ฉันจะแอบเข้าไปปิดระบบรักษาความปลอดภัยของที่นั่นให้ แต่สิ่งที่อะธีน่าต้องทำคือยืดเวลาให้พวกนายเข้าไปที่นั่นได้ทุกคน"
“ยืดเวลา ?” วินส์ตันถามขัดขึ้นมา
“ฟังให้จบสิ" เรเยสบ่น "ระบบรักษาความปลอดภัยที่นั่นมีระบบป้องกันตัวเอง หลังจากที่มีคนไปยุ่งกับระบบนั่นมันจะส่งสัญญาณเตือนภัยให้คนในองค์กรรู้ภายใน 30 วินาที"
“อ๋อ ! นายก็เลยจะให้อะธีน่ากับวินส์ตันหาทางยืดเวลาสามสิบวินั่นทำให้พวกเราเข้าไปข้างในให้ครบใช่มะ ?” เทรเซอร์ร้องอ๋อออกมาเสียงดังพลางพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจสไตล์คนอยู่ไม่นิ่ง
“ตามนั้น" เรเยสบอกกับทั้งสอง
“อืม.. แต่มันต้องใช้เวลาเกือบสัปดาห์เลยนะ" วินส์ตันทำท่าคิดหนัก "การเจาะระบบรักษาความปลอดภัยของเจ้าองค์กรนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย"
“เกือบสัปดาห์ ?” เรเยสทวนคำ "เราไม่มีเวลามากพอขนาดนั้นหรอกนะ เราเสียเวลามาแล้วถึง 1 วันและตอนนี้พวกเรามีเวลาไม่ถึง 1 วันด้วยซ้ำในการวางแผนนี้น่ะ !" เขาพูดเสียงดังพลางกำหมัดแน่นอย่างหงุดหงิด ไม่มีอะไรได้ดังใจสักอย่าง-- เรเยสนึกสบถอยู่ในใจ
“ฉันขอโทษ.." วินส์ตันเกาหัวตัวเอง เขาก้มหน้าลงอย่างรู้สึกแย่ที่ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้ "พวกเราคงต้องหาแผนอื่นแล้วล่ะ"
"เฮ้~ อย่าเครียดกันสิ เครียดแล้วเดี๋ยวนึกแผนดีดีไม่ออกนะ !” เทรเซอร์กล่าวออกมาอย่างร่าเริงให้กับอีกสองคน สถานการณ์ที่เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เป็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดและเธอไม่ชอบมันเอาซะเลย
“ถ้าไม่หายเครียดกันฉันจะไปตามเมอร์ซี่มาช่วยแล้วกัน..” เทรเซอร์บอกแค่นั้นก่อนจะวิ่งหายลับไปด้วยความเร็วที่มองตามไม่ทันก่อนจะวิ่งกลับมาด้วยความเร็วเท่าเดิม “เมอร์ซี่กำลังจะมาแล้ว พวกนายเลิกเครียดได้แล้วนะ !” เทรเซอร์พูดอย่างร่าเริงอีกครั้งหวังให้ทั้งคู่เลิกจมอยู่กับความคิดที่หม่นหมองของตัวเอง แต่ปฏิกิิริยาของทั้งสองที่ได้รับกลับมาก็ยังมีแต่เสียงถอนหายใจ
หวังว่าเมอร์ซี่จะรีบเดินมาถึงสักทีนะ – เทรเซอร์คิดในใจ
“ไงหนุ่มๆ" นางฟ้าสมชื่อเลย ! เทรเซอร์โห่ร้องอยู่ในใจ-- เธอมองเมอร์ซี่ที่เปิดประตูเข้ามา
“เมอร์ซี่ช่วยด้วย มีคนไข้จิตตกสองคนต้องได้รับการรักษาด่วน !” เทรเซอร์เข้าไปพูดกับเมอร์ซี่ด้วยท่าทางร้อนรน "พวกเรากำลังวางแผนที่จะไปช่วยพลทหาร 76 แต่คิดแผนดีดีกันไม่ออกสักทีน่ะ"
เมอร์ซี่ที่เห็นเทรเซอร์กระตือรือร้นขัดกับอีกสองคนตรงหน้าทำให้เธออดจะขำเล็กๆ ไม่ได้ "โอเคจ้ะ ไหนเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่าพวกเธอคิดอะไรกันได้บ้างแล้ว"
เทรเซอร์อธิบายแผนการที่รีปเปอร์เป็นคนคิดให้กับเมอร์ซี่ฟัง เธอพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจและรวมถึงฟังปัญหาที่ไม่สามารถทำให้แผนการนั้นสำเร็จได้ เมอร์ซี่มองแผนที่ของโครงสร้างภายในองค์กรทาลอนประกอบไปด้วยตอนที่เทรเซอร์เล่าให้ฟังหลังจากนั้นเธอก็ช่วยทั้งสามคนคิดหาแผนการใหม่ทันที
เวลาไปผ่านไปหลายชั่วโมง หลายแผนการที่คิดได้ถูกถกเถียงกันจนได้ข้อสรุป ความเครียดเริ่มคลายหายจากใบหน้าของทั้งสี่ชีวิตที่อยู่ในห้องประชุมแห่งนี้มาเกือบ 10 ชั่วโมง
“โอเค ตกลงตามนี้นะ" เมอร์ซี่พูดพลางวางปากกามาร์คเกอร์ไว้บนโต๊ะ เธอบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะปิดปากหาว "นี่มันก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้พวกเราต้องรีบเตรียมตัวเพื่อออกปฏิบัติการแต่เช้า พวกนายก็รีบไปพักผ่อนเถอะ เรายังต้องตื่นมาบอกแผนการให้พวกที่เหลือฟังในตอนเช้ามืดวันนี้อีก"
“อื้ม" เรเยสรับคำอีกฝ่ายในลำคอ ใบหน้าของเขายังไม่คลายความกังวลออกไปต่างจากทั้งสามคนที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้าซะมากกว่า ภายในใจของเขายังคงนึกห่วงคนที่ถูกจับไป
แจ็คจะเป็นยังไงบ้าง จะโดนไอ้พวกนั้นทำร้ายไหม – ภายในจิตใจของเรเยสวุ่นวายและร้อนรนไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่นิด
“ฉันกับเทรเซอร์ขอตัวก่อนนะ ฉันต้องไปกินมื้อดึกส่วนยัยนี่ง่วงจนแทบจะยืนหลับได้แล้ว" วินส์ตันหันมาพูดกับเรเยสและเมอร์ซี่ก่อนจะอุ้มเทรเซอร์ที่สะลึมสะลือเดินออกไปจากห้อง
เมอร์ซี่ที่เตรียมจะเดินออกจากห้องก็เหลือบไปเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ยังคงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอดีตคนรัก เธอได้แต่ส่ายหัวช้าๆ พลางนึกขันในใจ คนตรงหน้าเธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลยต่อให้ตอนนี้เขาใช้ชื่ออาชญากรมาปิดบังตัวตนที่แท้จริงก็ตาม .. แต่แกเบรียล เรเยสก็ยังเป็นคนเดิม
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ พรุ่งนี้เราจะไปช่วยเขากัน" เธอบอกกับอีกฝ่าย
เรเยสไม่ตอบอะไร เขาเงยหน้าขึ้นมามองเมอร์ซี่ สายตาที่ฉายแววเต็มไปด้วยความเศร้าหมองคู่นั้นทำให้เมอร์ซี่นึกเอะใจว่าทำไมในอดีต คนตรงหน้าเธอนี้ถึงได้นึกทำร้ายพวกเธอกัน
“เขาจะต้องปลอดภัยแน่นอน" เธอบอกอีกคนอย่างหนักแน่น "แต่ตอนนี้นายต้องไปพักผ่อนเหมือนกันนะ"
“อืม" เรเยสตอบรับบทสนทนาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะหายตัวเป็นกลุ่มควันลอยออกมา
เขาไม่สามารถข่มตาให้ตัวเองนอนหลับได้
จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเรเยส ร่างกายที่เป็นโมเลกุลแบบนี้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องพักผ่อนเหมือนคนปกติทั่วไปอยู่แล้ว เขาปรับตัวอยู่กับร่างกายแบบนี้มาได้นานแล้วแต่สิ่งที่เขาต้องเผชิญทุกครั้งในยามดึกเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยนึกชินกับมันสักที
“ฉันคิดถึงนายอีกแล้วแจ็ค" เรเยสพึมพำ
ถ้าเป็นปกติในยามค่ำคืนที่เขาไม่ได้พักผ่อนหรือติดทำภารกิจรับจ้างอะไร การไปก่ออาชญากรรม เช่น ปล้น ฆ่าคน หรือเรื่องเลวร้ายอื่นๆ เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเลิกจากการคิดฟุ้งซ่านได้ เรเยสใช้ชื่อรีปเปอร์บดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไปออกก่ออาชญากรรมแทบทุกค่ำคืนโดยหวังเพียงที่จะได้พบคนบางคน คนที่ทำตัวเป็นศาลเตี้ยเพื่อกำจัดคนเลวให้หมดไปจากโลกใบนี้.. พลทหาร 76
พิษของความคิดถึงยามกลางดึกแล่นไปทั่วโสตประสาท เรเยสข่มตาตัวเองให้หลับเพื่อไม่ให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตหลายสิบปีก่อน ภาพความทรงจำของเขาที่เต็มไปด้วยใบหน้าของ แจ็ค มอร์ริสัน ฉายย้อนกลับมา..
คิดถึงเหลือเกิน – เรเยสนึกถึงอย่างอาวรณ์
ในสมัยที่ แกเบรียล เรเยส และ แจ็ค มอร์ริสัน ยังทำงานร่วมกันอยู่ในหน่วยโอเวอร์วอช ยุค Omnic Crisis ที่โลกกำลังเผชิญอยู่นี้มีเพียงพวกเขาและหน่วยโอเวอร์วอชเท่านั้นที่สามารถขจัดเรื่องวุ่นวายให้มันสงบลงได้ พวกเขาได้เชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคม นับว่าตอนนั้นเป็นยุคทองของหน่วยโอเวอร์วอชเลยก็ว่าได้
ถึงแม้พวกเขาทั้งสองคนจะมีนิสัยต่างกันอย่างลิบลับ แต่ในฐานะคู่หู หัวหน้าหน่วยและรองหัวหน้า เรเยสกับมอร์ริสัน เขาสองคนตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา ยามอยู่ที่ฐานกับพรรคพวก เขาทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่ตัวไม่เคยห่างกัน ยามออกศึกพวกเขาทั้งคู่ต่างคอยระวังหลังให้กัน และยามที่พวกเขาได้อยู่ลำพัง.. พวกเขาแอบอิงเป็นที่พักให้กันในฐานะคนรัก-- ความสัมพันธ์ของพวกเขาแนบแน่นและลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะมาทำให้พวกเขาแยกออกจากกันได้
ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่งปัญหาสงคราม Omnic Crisis ได้จบลง หน่วยโอเวอร์วอชได้รับการขอบคุณจากประชาชนจำนวนมากแต่ก็มีไม่น้อยที่นึกรังเกียจพวกเขา ประชาชนจำนวนนั้นได้รวมตัวกันออกมาประท้วงเกี่ยวกับการทำงานของหน่วยโอเวอร์วอชและเรเยสที่ในสมัยนั้นเป็นหัวหน้าหน่วย เขาไม่นึกสนใจการกระทำของคนพวกนั้นเลยแม้แต่นิด เขาไม่คิดจะพูดคุยหรือเจรจากับประชาชนพวกนั้น ในความคิดของเขาคือเขาแค่ทำตามภารกิจที่ไ่ด้รับมอบหมายมา และต้องทำให้มันสำเร็จไม่ว่าจะด้วยวิธีทางใด
แต่แจ็ค มอร์ริสัน ที่มีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าหน่วยในตอนนั้นไม่เห็นด้วยกับการที่เรเยสทำตัวแบบนี้ เขาคิดว่าทางหน่วยสมควรออกไปเจรจากับประชาชนและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้พวกนั้นได้เข้าใจเพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยโอเวอร์วอชถูกโจมตีจากกระแสสังคม ในที่สุดความเห็นของทั้งสองคนก็ไม่ลงรอยกัน เรเยสมีนิสัยที่ใจร้อนเกินไป.. เขาในตอนนั้นนึกปัดรำคาญจากหน้าที่จึงได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าหน่วยโอเวอร์วอชก่อนย้ายไปสังกัดเป็นหัวหน้าหน่วยแบลควอชแทน
มอร์ริสันขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยโอเวอร์วอชและทำหน้าที่เป็นเทพสันติภาพได้ดี เขากับเมอร์ซี่เป็นแกนหลักในการพาคนในหน่วยไปช่วยฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองและเยียวยาจิตใจของประชาชนจนไม่มีกระแสสังคมทางไหนต่อต้านพวกเขาอีก เรื่องทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่มิตรภาพของเรเยสกับมอร์ริสันเริ่มห่างหาย จากที่เคยเป็นคู่หูตัวติดกัน กลับกลายเป็นคนที่มีความเห็นไม่ลงรอย ทั้งคู่แทบจะไม่ได้เจอกันเลยนอกจากห้องพักที่นานๆ ทั้งสองจะมาอยู่ด้วยกันสักครั้ง
เรเยสเผลอกำหมัดของตัวเองแน่นตอนที่ความทรงจำของเขานึกย้อนมาถึงตรงนี้
ต่างคนต่างทำงานที่หน่วยของตัวเองได้รับมอบหมายจนแทบจะไม่มีเวลามาเจอกันสักครั้ง ความห่างเหินที่เกิดขึ้นสร้างรอยร้าวให้กับทั้งคู่มากกว่าเดิม ปัญหาเดิมที่ยังไม่ปรับความเข้าใจกันกลับมีปัญหาใหม่เข้ามาแทรกเมื่อมอร์ริสันเริ่มน้อยใจกับสิ่งที่ทั้งคู่กำลังเป็นอยู่
คนรักงั้นเหรอ.. ท่าทีไม่ใส่ใจของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่มั่นใจแล้วว่าคำบอกรักที่อีกคนเคยบอกตัวเองนั้นยังเหมือนเดิมหรือเปล่า-- ความคิดมากเริ่มโหมกระหน่ำโจมตีจิตใจของมอร์ริสันทีละนิด นานวันเข้ามันก็กลายเป็นปัญหาในใจก้อนใหญ่ที่ต้องการการระบาย
แล้ววันที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นจุดพลิกผันเหตุการณ์ทุกอย่างก็มาถึงเมื่อทั้งสองหน่วยได้รับคำสั่งฉุกเฉินให้ป้องกันฐานจากการบุกรุกของพวกองค์กรทาลอน เรเยสและมอร์ริสันเจอหน้ากันเพียงชั่วครู่ในระหว่างสวนกันที่โถงทางเดิน ไร้ซึ่งคำพูดจา ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ทั้งสองเดินสวนกันราวกับว่าเป็นคนไม่รู้จัก ภายในใจของมอร์ริสันเจ็บแปลบ ไม่ต่างจากเรเยสที่มีอาการหน่วงเหมือนจะหายใจไม่ออก
มันถึงจุดที่ทั้งคู่อดทนกับเรื่องนี้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
เรเยสและมอร์ริสันสั่งให้ลูกน้องที่เดินตามมาด้วยล่วงหน้าไปประจำตำแหน่งก่อนถึงจะตามไป เขาทั้งคู่ต่างคิดว่าต่อให้เป็นตายร้ายดียังไงวันนี้พวกเขาก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
ลูกน้องของทั้งคู่เดินลับตาจากไปแล้ว ทั้งคู่ไม่พูดพร่ำกันให้เสียเปล่า มือของมอร์ริสันกำแน่นจ้องคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ใบหน้ายุ่งเหยิงนั่น-- เรเยสนึกมันเขี้ยวจนอยากเข้าไปกระชากมาจูบ เขาไม่ปล่อยให้ความคิดตัวเองคิดอะไรไปมากกว่า เรเยสผลักอีกคนเข้าไปในห้องเก็บของที่อยู่แถวนั้น
ทันทีที่เข้าไปในห้อง เรเยสกระชากคอเสื้ออีกคนเข้ามาใกล้ เขาขโมยริมฝีปากอีกคนและครอบครองมันด้วยริมฝีปากของตัวเอง-- มอร์ริสันที่อารมณ์คุกรุ่นจากความน้อยใจและคิดมากมาตลอดหลายสัปดาห์ไม่ยอมให้อีกคนได้ทำตามอำเภอใจตัวเองต่อ มอร์ริสันดิ้นสู้อยู่ในอ้อมกอดของเรเยส เขาไม่ยินดีกับจูบนั้น.. ไม่แม้สักนิด
‘จะดิ้นทำไม เว้าวอนสิ่งนี้จากฉันมากไม่ใช่รึไง !” เรเยสตะคอก เสียงแหบต่ำที่เต็มไปด้วยอารมณ์โมโหทำให้มอร์ริสันสะดุ้งเมื่อได้ยิน เขาก็หงุดหงิดไม่แพ้อีกฝ่ายเช่นกัน
‘หึ..’ มอร์ริสันหัวเราะเสียงสั่นอยู่ในลำคอ อาการจุกที่จ่อคอหอยและน้ำตาที่กำลังรื้น คำพูดเสียดสีที่ออกมาจากคนตรงหน้าทำให้เขารู้ว่าเรเยสไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่แกเบรียล เรเยสคนเดิมอีกต่อไป
มอร์ริสันยกแขนเช็ดริมฝีปากแรงๆ หลายครั้ง การกระทำแบบนั้นในสายตาเรเยสทำให้เขาหงุดหงิดจนเกือบขาดสติ เขากระชากแขนของอีกฝ่ายแรงจนทำให้อีกคนเกือบล้ม
‘รังเกียจฉันเหรอ รังเกียจฉันมากเหรอไง หรือว่าพอไม่เจอหน้ากันก็ไปมีคนอื่นซะแล้ว ?’ น้ำเสียงเย้ยหยันที่เรเยสเลือกใช้ยิ่งทำร้ายความรู้สึกของมอร์ริสัน น้ำตาที่ทำท่ารื้นมานานผล็อยไหลออกมาจากดวงตาของอีกฝ่ายแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรเยสใจเย็นลง ความเห็นที่ไม่ลงรอย ความห่างเหิน ความไม่ไว้ใจ สิ่งแย่ๆ มากมายกำลังมาบดบังความทรงจำดีๆ ระหว่างเขากับมอร์ริสันไปจนหมดสิ้น
ทั้งคู่มีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ในเมื่อทั้งคู่เห็นว่าพูดกันไม่รู้เรื่องก็คงถึงขึ้นที่ต้องใช้กำลัง ทั้งสองรู้ว่าหลังจากนี้พวกเขาไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้วไม่ว่าจะยังไงก็ตาม หลายนาทีผ่านไปที่ทั้งคู่ยังคงทะเลาะกัน อาวุธคู่กายของพวกเขาทั้งคู่ถูกเล็งเข้าหากัน
มอร์ริสันหอบหายใจถี่ปนสะอื้น น้ำตาที่ยังคงไหลอยู่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกปวดหัว เขาจ้องมองชายตรงหน้าอย่างไม่เชื่อว่าเขาทั้งคู่จะต้องมาเจอกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้ ภาพความทรงจำดีดีระหว่างเขากับเรเยสไหลเข้ามาในหัวราวกับใครเปิดภาพฉายซ้ำ 'นาย.. ยังรักฉันอยู่มั้ยแกบี้..’ มอร์ริสันเอ่ยถามอีกคนเสียงสั่น
คนที่ถูกถามชะงักไปครู่เดียวก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะยิ้มเหยียด ใบหน้าเต็มด้วยความเย้ยหยันปนตลก ในตอนนี้เรเยสได้ถูกอารมณ์ควมคุมเหนือจิตใจไปแล้ว เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องการรำลึกความหลังอะไรนั่นไปทำไมในเมื่ออีกฝ่ายเองเป็นคนที่ทำให้เรื่องทั้งหมดหลายเป็นแบบนี้ .. ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้
‘รักเหรอ ?’ เรเยสยิ้มเย้ย 'ฉันบอกตามตรงนะมอร์ริสัน เรื่องของเรามันเป็นแค่เรื่องเพ้อเจ้อและมีแต่คนที่โง่งมอย่างนายเท่านั้นแหละที่จะตกหลุมพราง ผู้ชายกับผู้ชายเนี่ยนะ ?’ เขาพูดออกไปอย่างไร้สติ 'นายมีค่าแค่เป็นผลประโยชน์ให้ฉันได้ก็เท่านั้นแหละ'
‘...’
‘หึ.. ฉันไม่เคยรักนาย'
สิ้นประโยคของเรเยส เสียงกัมปนาทดังสนั่นจนทำให้ตัวตึกสั่น เพียงพริบตาที่รอบข้างและทั่วฐานโอเวอร์วอชเกิดแสงสว่างขึ้นฉับพลัน แรงและผลลัพธ์จากระเบิดนิวเคลียร์ที่ถูกวางไว้ทั่วอาคารโดยฝีมือมือสังหารสาวเจ้าของนามวิโดว์เมคเกอร์ ทำให้ตัวตึกของฐานโอเวอร์วอชถล่มลงในพริบตา
แค่ชั่วพริบตาเท่านั้นที่ทำให้เรเยสกลับมาได้สติ ร่างของเขาถูกแรงระเบิดและซากคอนกรีตของตึกทับจนขยับตัวไม่ได้ .. แค่ชั่วพริบตาเท่านั้นที่ทำให้เขานึกถึงใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันเมื่อครู่ ..
มอร์ริสัน ! แจ็ค มอร์ริสัน ! – เรเยสร่ำร้องตะโกนในใจอย่างนึกห่วงอีกคน ร่างกายที่แหลกสลายของเขาไม่สามารถให้ความรู้สึกอะไรได้อีกต่อไปและไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นสติของเขาก็หมดลง
ความทรงจำมากมายที่พรั่งพรูเข้ามาทำให้เรเยสกุมขมับ สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็นเรื่องที่ตัวเขาอยากจะลืม แต่พอยิ่งคิดว่าต้องลืมก็ยิ่งจำมันได้ขึ้นใจ .. เรื่องที่หลอกหลอนเขาทุกครั้งที่พยายามหลับตา – เรเยสขบริมฝีปากตัวเองแรงจนห้อเลือด
“ฉันขอโทษ.. แจ็ค ฉันขอโทษ" เขาเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยล้า
ฉันรักนาย.. รักมาตลอดจนถึงตอนนี้ เป็นฉันที่โง่เองที่เลือกทำร้ายนาย ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง
- House of Memories -
100%