top of page

(Y!!!OI fanfic) Please don't be lettuce, I just want to make you feel rosemary (#JJSeung)

Please don't be lettuce, I just want to make you feel rosemary

Pairing : Jean-Jacques x Seung Gil (#JJSeung #제이승길)

Author : with her percentage | Genre/Rate : OS/PG-13

Theme song : That One Song (by gnash)

* warning *

AU/Slash 98.98%

_____________________

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงหลายปีก่อน ท่ามกลางหิมะและค่ำคืนที่อากาศแสนหนาวเย็นเฉกเช่นช่วงกลางเดือนสุดท้ายของปี ณ เมืองออนทาริโอ ประเทศแคนาดา

ร่างของเด็กชายวัย 7 ขวบ รูปพรรณสัณฐานไม่ใกล้เคียงกับเพื่อนวัยเดียวกันเมื่อเทียบกันที่การเจริญเติบโตของแต่ละเชื้อชาติ 'ซึงกิล' ยืนสั่นเพราะความเย็นที่โหดร้ายอยู่หน้าบ้านของ 'ฌอน' เพื่อนเพียงคนเดียวที่เขามีนับตั้งแต่เขาได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ร่วมสองปี

เนื่องจากที่บ้านของเขามีปัญหาจากการที่พ่อแม่ทะเลาะกันเสมอ และซึงกิลไม่ชอบสถานการณ์แบบนั้นเอาเสียเลย ทุกครั้งที่พ่อและแม่ของเขาเริ่มมีปากเสียงกัน ซึงกิลมักจะแอบออกมาจากบ้านเพื่อหาที่สงบ หลีกหนีจากสถานการณ์น่าวุ่นวายนั่น

ครั้งแรกเขาจำได้ดีว่าตอนนั้นเป็นเวลาราวๆ สองทุ่มครึ่ง เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นพ่อกับแม่มีปากเสียงกันต่อหน้าและเขาอดทนฟังคำพูดที่ทั้งสองสาดใส่กันไม่ไหว ซึงกิลตัดสินใจแอบออกมาทางประตูหลังบ้าน และฌอนก็มาเจอเขาที่สวนสาธารณะไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าไหร่

และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รู้จักกัน

ฌอนชักชวนให้ซึงกิลไปที่บ้าน ในความคิดของเด็กน้อยตอนนั้นเพียงแค่ไม่ต้องการให้เพื่อนคนนี้ได้รับอันตรายหากต้องออกมาเดินเตร่อยู่ข้างนอกคนเดียวในเวลามืดค่ำ

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สนิทกันมากขึ้นเมื่อพวกเขารู้ว่าตัวเองอาศัยอยู่ในซอยละแวกหมู่บ้านเดียวกัน ทั้งคู่ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อยๆ หลังจากกลับมาจากโรงเรียน รวมถึงเมื่อเวลาที่บ้านของซึงกิลมีปัญหา บ้านของฌอนก็มักจะเป็นที่พักพิงและสถานที่เยียวยาจิตใจให้แก่เด็กเอเชียวัยเพียงหกขวบกว่า

และคืนนี้ก็เช่นกัน..

- Please don't be lettuce, I just want to make you feel rosemary -

และคืนนี้ก็เช่นกัน..

ซึงกิลในวัย 17 ปี ยืนรอเพื่อนสนิทของเขาให้มาเปิดประตูให้เหมือนที่หมอนั่นเคยทำมาตลอดสิบกว่าปี เพียงแต่ปัญหาในการมาบ้านของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับสิบปีก่อน ไม่ใช่ปัญหาเรื่องที่บ้าน ไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่ของเขาทะเลาะกันเพราะซึงกิลได้เสียทั้งคู่ไปแล้วจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อห้าปีก่อน

แต่ปัญหาที่เป็นตัวต้นเหตุในการมาบ้านของฌอนช่วงหลังที่ผ่านมามักจะเพราะว่าซึงกิลโดนรังแกเสียมากกว่า เพราะเจ้าตัวเองไม่รู้วิธีที่จะป้องกันตัวจากการโดนทำร้าย โครงสร้างร่างกายที่แตกต่างจากพวกพื้นเมืองเป็นสิ่งที่ทำให้ซึงกิลเสียเปรียบเวลาโดนหาเรื่อง

และฌอนก็มักจะเป็นที่พึ่งพาได้ในเวลาที่เขาไม่มีคนทำแผลให้

แค่นึกถึงรอยยิ้มกว้างที่เพื่อนตัวดีมักจะมีตลอดเวลาแค่นั้นซึงกิลก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างระอา จิตใต้สำนึกของเขาร้องบอกอยู่เสมอว่าฌอนเป็นพวกยิ่งโตยิ่งน่ารำคาญซึ่งเขาก็เริ่มเห็นด้วยกับความคิดนั้นมากขึ้นทุกที

“สวัสดีซึงก… อีกแล้วเหรอ!” ในที่สุดฌอนก็เปิดประตูออกมา ผมเห็นเขาชะงักไปหลังจากที่เอ่ยคำทักทายยังไม่ทันเสร็จดี

ฌอนเริ่มสบถ.. สีหน้าบูดบึ้งพร้อมเสียงทุ้มที่กำลังบ่นภาษาอังกฤษรัวๆ นั่นทำให้เสียงร้องในจิตใต้สำนึกผมดังขึ้นมาอีกครั้งว่าหมอนี่กลายเป็นคนที่น่ารำคาญขึ้นไปทุกวันจริงๆ

“ทำไมนายไม่ต่อยพวกนั้นกลับไปสักหมัด" ฌอนถามขึ้นมาในขณะที่เขากำลังแตะยาลงบนแผลของผมอย่างเบามือ

ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

จริงๆ ตอนนี้ผมไม่ได้มองหน้าหรือสนใจเขาด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมทำแค่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างจากห้องนอนของฌอนเพื่อมองท้องฟ้าที่ตอนนี้มืดสนิทและมีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากเสาไฟข้างทางเป็นที่ให้แสงสว่างเพื่อไม่ให้ข้างนอกนั่นมืดจนเกินไป

“นายนี่นะ..” ผมได้ยินแค่ฌอนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะมันจะบ่นพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก

ก็เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผมได้แผลมาและหมอนี่ก็มักจะบ่นและทำตัวราวกับเป็นแม่ที่มีลูกชายเกเร

“แล้วพรุ่งนี้เรื่องปาร์ตี้ที่บ้านฉันนายจะว่ายังไง จะมาหรือเปล่า" ประโยคคำถามง่ายๆ ถูกส่งมาเพื่อยืดเยื้อบทสนทนาที่ว่างเปล่า

ผมยอมหันไปมองหน้าฌอน ผมรู้ดีว่าถ้าผมยังไม่พูดอะไรสักอย่างหรือหันกลับไปคุยกับเขา บทสนทนาที่ไม่สมควรจะโดนยืดเยื้อก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนน่ารำคาญ "อืม.. ไม่รู้สิ" ผมตอบออกไป

“มาสิ ฉันอยากให้นายได้รู้จักปาร์ตี้เด็กไฮสคูลสักครั้ง" ประโยคคะยั้นคะยอถูกส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ชวนหงุดหงิด

ผมเพิกเฉยกับคำพูดของหมอนั่นอีกครั้งพร้อมๆ กับที่หันหน้าหนีไปทางอื่น

และเสียงถอนหายใจของฌอนก็ดังขึ้นอีกครั้งเช่นกัน

“ฉันจะกลับแล้วล่ะ.." ผมตัดสินใจพูดออกไปพลางลุกออกจากเตียงของอีกฝ่ายที่ตัวเองกำลังนั่งอยู่ "ขอบใจที่ช่วยทำแผลให้" ผมหันบอกเขาในขณะที่เดินไปที่ประตู

และผมก็เห็นฌอนเดินตามมา “เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง"

“ไม่เป็นอะไร" ผมตอบปฏิเสธทันควัน "มันดึกแล้ว"

“เถอะน่า.. ดึกแล้วยังไง ฉันดูแลตัวเองได้นะซึงกิล" แวบหนึ่งที่ผมเห็นฌอนหัวเสีย คิ้วของเขาขมวดกันเล็กน้อยก่อนจะรีบคลายออกก่อนที่จะหันมาพูดกับผม "ถ้านายโดนดักตีอีกรอบฉันไม่มาทำแผลให้แล้วนะ"

สุดท้ายฌอนก็ได้เดินมาส่งผม เขาดูอารมณ์ดีสุดๆ ต่างจากผมที่ทำหน้าอยากจะตายสุดๆ

บ้านของเราใกล้กันเพียงแค่ยี่สิบก้าวเดินตามมาตรฐานขาคนเอเชียได้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเดินมาส่งทำไมเพราะผมคงไม่โดนดักตีหน้าบ้านตัวเองหรอก

“ขอบใจ" ผมเอ่ยออกไปในขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว

“รีบนอนล่ะ พรุ่งนี้เช้าเจอกัน" ฌอนพูดพลางฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ ซึ่งผมก็เพิกเฉยรอยยิ้มนั่นของเขาอีกครั้งแล้วหันตัวเดินกลับเข้าบ้าน

ถ้าจะให้นับว่าวันนึงผมเมินรอยยิ้มของเขาไปกี่ครั้งก็คงจะต้องนับว่าเขาหันมายิ้มให้ผมกี่ครั้ง ซึ่งมันคงจะดูเป็นเรื่องไร้สาระที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาเลยก็ได้

“บ้าบอชะมัด" ผมสบถกับตัวเองเบาๆ หลังจากเข้ามาในตัวบ้านแล้ว

ผมสะบัดหัวอยู่สองสามครั้งเพื่อสลัดความคิดไร้สาระนั่นทิ้งก่อนจะก้าวขาทั้งสองข้างเดินขึ้นไปบนชั้นสองโดยที่จุดหมายอยู่ที่ห้องนอนของตัวเอง

นาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงบอกให้ผมรู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ผมสมควรเข้านอนได้แล้วถ้าหากพรุ่งนี้ไม่อยากตื่นสาย ผมลากร่างที่ระบมไปทั้งตัวเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการล้างคราบสกปรกที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ซึ่งผมไม่ได้ใช้เวลาในห้องน้ำนานมากสักเท่าไหร่เนื่องจากความอ่อนล้าที่เริ่มจะกัดกินร่างกายทีละนิด

เปลือกตาที่หนักอึ้งของผมปิดลงแทบจะทันทีเมื่อแผ่นหลังได้สัมผัสลงกับเตียงขนาดควีนไซส์ของตัวเอง

ไม่นานนัก สติสัมปะชัญญะของผมก็ลางเรือนและค่อยๆ ดับไปในที่สุด

- Please don't be lettuce, I just want to make you feel rosemary -

อากาศหนาวเย็นยามเช้าให้ความรู้สึกที่ดีในการเริ่มต้นวันใหม่ แต่มันคงไม่น่าสดชื่นสำหรับใครบางคนที่เดินหน้ามึนมาแต่ไกล

ผมโบกมือเรียกซึงกิลที่เดินโงนเงนเหมือนคนที่พร้อมจะล้มตลอดเวลา หมอนั่นเดินช้าเป็นเต่า และถ้าผมเข้าใจไม่ผิดเหตุผลคงเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อวานแน่ๆ

ซึงกิลโดนใครที่ไหนไม่รู้มาทำร้ายอีกแล้ว

จริงๆ ผมก็อยากรู้ แต่ทุกครั้งที่ถามว่าพวกนั้นเป็นใครก็ไร้คำตอบจากอีกฝ่าย

แต่ปกติซึงกิลแทบจะเมินทุกคำพูดของผมด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ผมก็ชินไปซะแล้วล่ะ

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คิดถึงซึงกิลวัยเด็กอยู่ดี

ซึงกิลวัยเด็กคือซึงกิลคนที่มีอารมณ์และพูดจามากกว่านี้อีกหน่อยน่ะ

“ไง สวัสดียามเช้านะ!” ผมเอ่ยทักทายอีกฝ่ายเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับจากอีกฝ่ายไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่นัก

ซึงกิลแค่ใช้หางตามองมาที่ผมและยกมือข้างขวาขึ้นมาแทนการทักทาย ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มตอบรับกลับไปเหมือนทุกวัน

วันนี้เขาค่อนข้างแต่งตัวมิดชิด อาจจะเพราะในเช้าวันนี้อากาศเย็นลงมากกว่าเมื่อวานทำให้อีกฝ่ายเลือกที่จะหยิบผ้าพันคอผืนหนาติดตัวมาด้วย นอกจากโอเวอร์โคทตัวใหญ่ที่สวมทับร่างกายของซึงกิลเอาไว้ ตอนนี้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาก็ถูกปิดมิดโดยผ้าพันคอสีทึมนั่น

และถ้าพวกคุณได้มีโอกาสมองเขาจากความสูงของตัวผมในตอนนี้ การที่ใบหน้าปกติขาวซีดไร้ชีวิตชีวาได้มีสีแดงฝาดจางๆ ให้เห็นตรงแก้มกับปลายจมูกนั่นมันก็น่ารักไม่หยอก

ความคิดไร้สาระนั่นทำให้ผมนึกหัวเราะกับตัวเองในใจ.. น่ารักไม่หยอกงั้นเหรอ ? – ผมทวนความคิดตัวเองอยู่ในใจโดยที่ยังไม่ได้ละสายตาไปจากคนตรงหน้า

“มองอะไร" ซึงกิลหันมาถาม สายตาของเขาจ้องเขม็งมาอย่างน่ากลัว แต่สายตานั่นไม่สามารถทำอะไรผมได้หรอก เพราะผมชินกับการมองตาคู่นั้นไปแล้วน่ะ

“เปล่า แค่คิดว่าผ้าพันคอนายปิดจมูกแบบนั้นจะหายใจออกเหรอ" ผมพูดโกหกออกไป

ซึงกิลไม่ได้ตอบอะไรกลับมา นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่รถบัสของโรงเรียนมาถึงป้ายพอดี

“เฮ้เพื่อน คืนนี้เจอกัน" หลังจากที่จบคาบพฤกษาศาสตร์ เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในคลาสเดินมาแท็กมือกับผม เราคุยกันเล็กน้อยเรื่องปาร์ตี้ที่บ้านผมในคืนนี้ก่อนบทสนทนาจบลงพร้อมที่อีกฝ่ายเดินออกไปจากห้องเรียน

ตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวันแล้ว ผมเก็บข้าวของลงในกระเป๋าก่อนจะเดินไปปลุกซึงกิลที่หลับไปตั้งแต่ครึ่งคาบที่ผ่านมา

ซึงกิลสะลึมสะลือ เขายกมือขึ้นมาขยี้ตาก่อนหาวออกมาอีกหวอดใหญ่ มือทั้งสองข้างถูเข้าหากันอย่างต้องการความอบอุ่นก่อนจะเก็บมันซุกลงไปในกระเป๋ากางเกง

เพราะโอเวอร์โค้ทตัวหนาถูกถอดเก็บไว้ในล็อกเกอร์ตั้งแต่มาถึงโรงเรียน ตอนนี้ซึงกิลจึงมีเพียงเสื้อสเวตเตอร์สีกรมแขนยาวกับผ้าพันคอสีทึมนั่นเท่านั้นที่ยังคงให้ความอบอุ่นแก่เขา

“จะกินอะไร?” ผมเอ่ยถามออกไป

“อืม.. อะไรก็ได้ที่อุ่นๆ" คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ผมยิ้มกว้าง อย่างน้อยประโยคนี้ก็ไม่ได้โดนเมินจากคนตรงหน้า

ซุปฟักทองตรงหน้าเป็นที่มาของรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนใบหน้าของผมในตอนนี้ ซึ่งต่างจากสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของซึงกิล

“นี่ไงอาหารอุ่นๆ" ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริงและขบขันอย่างปิดไม่มิด

ซึงกิลไม่ได้ตอบอะไรกลับมา คิ้วของเขาที่เพิ่งขมวดกันแทบจะเป็นปมอยู่แล้วเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นการหันมาเลิกคิ้วใส่ผมแทน ท่าทางของอีกฝ่ายในตอนนี้ดูอยากกระชากผมเข้าไปต่อยเสียเต็มประดา ซึงกิลเกลียดผักข้อนั้นผมรู้ดีและแน่นอนว่ามื้อกลางวันที่ผมเลือกไปในวันนี้ไม่ใช่อะไรที่เขาโปรดปรานแน่ๆ

“ฉันจะไปซื้อสตูว์เนื้อ" ประโยคสั้นๆ ถูกกระแทกเสียงลงมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปจากโต๊ะ ทิ้งให้ผมนั่งยิ้มเล็กยิ้มน้อยราวกับคนเสียสติกับเหตุการณ์เมื่อครู่

อาจจะฟังดูโรคจิตแต่ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าเวลาที่ซึงกิลทำหน้าโมโหหรืออารมณ์เสียใส่ มันน่ามองมากกว่าสีหน้าเฉยชาแบบที่เจ้าตัวชอบทำเป็นไหนๆ

อืม.. ถ้าให้พูดจริงๆ ที่ผมทำลงไปอย่างนั้นเพราะผมมีเหตุผลแหละนะ

ปกติผมไม่ใช่คนประเภทที่กวนประสาทชาวบ้านเขาไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีเหตุจูงใจหรอก

ผมเบนสายตามองหาซึงกิลก่อนจะพบว่าเขายังคงต่อแถวรอซื้อสตูว์อยู่ ไม่รอช้ากระเป๋าสะพายคู่ใจถูกดึงเข้ามาใกล้ตัวผมก่อนที่จะรีบหยิบบางอย่างออกมา

ดอกไม้กลีบสีเหลืองบานเบ่งอย่างน่ารัก ผมมองพวกมันที่ถูกห่อด้วยกระดาษสมุดตัวเองหลังจากที่เดินไปขออาจารย์ประจำวิชาพฤกษาศาสตร์ในคาบที่ผ่านมา ดอกสีเหลืองนวลพวกนี้คือดอกของผักกาด ซึ่งผมแค่บังเอิญไปชอบความหมายของมันหลังจากที่อาจารย์บอกตอนสอน

ความหมายที่บอกว่า ‘อย่าเย็นชากับฉันนักเลย’

ผมอมยิ้มเล็กน้อยตอนที่มองมัน ก่อนจะแกะห่อกระดาษออกแล้วรีบจัดมาเป็นช่อวางไว้ตรงหน้า ได้แต่หวังว่าเจ้าดอกเล็กๆ พวกนี้จะช่วยสื่อความหมายให้ซึงกิลรับรู้และเลิกทำเย็นชากับผมสักที อย่างน้อยก็ขอแค่ให้เขารับคำชวนไปปาร์ตี้ของผมในคืนนี้ก็พอ

ผมมองหาซึงกิลอีกครั้ง และพบว่าเขาซื้อสตูว์เสร็จแล้วกำลังจะเดินกลับมาที่โต๊ะ

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การบอกรักหรือพฤติกรรมอะไรทำนองนั้น แต่ให้ตายสิ.. ใจผมเต้นเร็วเป็นบ้า

“ไง คนรอซื้อสตูว์เยอะเหรอ" ผมเอ่ยถามออกไปทันทีเมื่อเขาเดินมาถึงโต๊ะ ผมรับรู้ได้ว่าเสียงของผมสั่น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ผมไม่สามารถบังคับตัวเองให้หยุดตื่นเต้นกับบทสนทนาที่กำลังจะเริ่มคุยกับคนตรงหน้าได้เลย

“นี่มันอะไร" ซึงกิลเมินประโยคคำถามของผมไปโดยที่ไม่ต้องคาดเดาเลย

“อ่า.. ดอกไม้น่ะ" ผมตอบคำถาม

“ของใคร" คำถามถูกสวนกลับมาอย่างรวดเร็ว

ใจของผมเต้นรัวราวกับมีใครมาเหยียบกระเดื่องกลองชุดอยู่ใกล้หู “ของฉัน.. ให้นาย"

“ห๊ะ?” ครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมเพิ่งจะเห็นว่าซึงกิลตกใจขนาดนั้น

“คือมัน.. มีความหมายน่ะ" ผมอ้อมแอ้มเสียงตอบอีกคนไป "มันหมายความว่าอย่าเย็นชากับฉันนักเลย..”

“...” หน้าสงสัยเสียเต็มประดาของซึงกิลทำให้ผมต้องตอบออกไป

“ฉันเพิ่งได้รู้จากวิชาพฤกษาศาสตร์เมื่อกี้"

ซึงกิลไม่พูดอะไร มีเพียงคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอีกครั้งเท่านั้นที่เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา

“ฉันแค่.. อยากชวนนายไปปาร์ตี้คืนนี้ด้วยกัน"

“...” คนตรงหน้ายังคงนิ่งเงียบจนผมใจเสีย แต่ผมจะไม่ยอมแพ้ตรงนี้หรอก

“นะ.. อย่าใจร้ายกับฉันไปมากกว่านี้เลย" ผมอ้อนวอนเขา ส่งสายตาไปอย่างเว้าวอนได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมใจอ่อน

ซึงกิลยังไม่เปลี่ยนท่าที ชามสตูว์ที่เพิ่งซื้อมายังคงอยู่ในมือของเขา และเขาก็ยังคงยืนอยู่โดยที่ไม่นั่ง

ผมได้แต่ภาวนาในใจว่าสิ่งที่ผมทำลงไปจะดูไม่งี่เง่าในสายตาของเขา แต่ให้ตายเถอะ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคิดผิด

ผมไม่น่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าพระเจ้าจะเห็นใจ

“ถ้านายไม่ตกลงก็ไม่เป็นอะ.."

“ฉันจะไป” ซึงกิลตอบสวนกลับมาในขณะที่ผมยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ "ฉันจะไปปาร์ตี้ที่บ้านนายคืนนี้ก็ได้" เขาพูดย้ำขึ้นมาอีกครั้งราวกลับต้องการย้ำให้ผมแน่ใจหลังจากที่เห็นผมทำหน้าเหวอ

“จริงเหรอ" ผมถามกลับไปโดยที่ควบคุมอารมณ์ดีใจของตัวเองไม่ได้เลย

ซึงกิลไม่ตอบอะไร เขาแค่นั่งลงตรงหน้าและวางชามสตูว์ลงกับโต๊ะ ฝ่ามือเรียวหยิบดอกผักกาดพวกนั้นเก็บลงกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ข้างกาย

แต่แค่นั้นผมก็รู้คำตอบของเขาแล้วหละ

นี่น่าจะเป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างสุดๆ ไปเลย!

- Please don't be lettuce, I just want to make you feel rosemary -

100%

bottom of page