top of page

(Bohbahfamily fanfic) Every time I get up #เอกกล้า

Every time I get up

Pairing : #เอกกล้า (HRK x CigaretteS)

Author : Alweirno | Genre/Rate : OS/PG-13

Theme song : Miracle (by Ghost Beach)

* warning *

Slash/AU & Not based on true/real life 98.99%

_____________________

ฮิคิโคโมริ (Hikikomori) คำภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึงกลุ่มคนรักสันโดษ

คนกลุ่มนี้เลือกที่จะกีดกันตัวเองจากสังคม จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่พวกเขาไม่มีรสนิยมที่จะคบค้าสมาคมหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครมากนัก การออกไปข้างนอกบ้านดูเป็นเรื่องท้าทายและน่าเบื่อไปพร้อมๆ กันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าข้างนอกนั่นมีผู้คนขวักไขว่อยู่มากมาย

กล้าเป็นแบบนั้น

เขาไม่ได้ออกนอกห้องมานานกว่าหนึ่งปีได้แล้ว

หน้าจอคอมฯ ปรากฎภาพกราฟฟิคขึ้นคำว่า VICTORY หลังจากเกมจบ สายตาที่ล้าเต็มทนถูกปิดลงพร้อมกับเจ้าตัวที่พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ความเหนื่อยจากเกมแมทช์ที่ผ่านเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากเมื่อพบว่าคนในทีมของตัวเองเลือกที่จะเล่นตามใจตัวเองมากกว่าเพื่อทีม

เกือบแพ้เพราะคนเห็นแก่ตัวอีกแล้ว – กล้าคิดในใจอย่างหัวเสีย เขาเหนื่อยใจมากที่บางทีต้องพบสกานการณ์แบบนี้ในการลง Competitive Mode ที่มีการนับคะแนนแรงค์ ซึ่งมันจริงจังมากเพราะเขาไม่อยากให้คะแนนตัวเองตก

คนเห็นแก่ตัวมีอยู่ในทุกสังคมจริงๆ

กล้าอ้าปากหาวหวอดใหญ่ ความรู้สึกเพลียที่สะสมมาตลอดสองวันที่ไม่ได้นอนกำลังเล่นงานร่างกายของเขาเต็มที ตาเลื่อนลอยมองเวลาบนหน้าจอคอมฯ ก็พบว่าอีกเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็จะหกโมงเช้า เมาส์ในมือถูกเลื่อนไปมาก่อนที่กล้าจะพิมพ์บางอย่างลงบนแป้นพิมพ์

หน้าจอโซเชี่ยลมีเดียร์นาม Twitter ปรากฎแก่สายตา ทามไลน์ที่นิ่งสงบไม่มีการเคลื่อนไหวแสดงให้เห็นว่าเวลานี้ยังไม่มีใครตื่นนอน กล้าสกอล์หน้าเว็บลงมาเรื่อยๆ เพื่ออ่านข่าวสารจากหลายแอคเคาท์ที่เขากดติดตามไว้ ส่วนมากก็ไม่ค่อยมีอะไรนอกจากข่าวสารวงการเกมและการแข่ง E-Sports ซีซั่นปัจจุบัน

ไม่มีอะไรสะดุดตาหรือดึงดูดความสนใจกล้าได้มากพอทำให้เขาหายจากอาการเบื่อในตอนนี้ได้เลย

นิ้วเรียวกดดูนั่นดูนี่ต่อไปอีกเรื่อยจนกล้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจให้เขาต้องเล่นมันต่อ ความเบื่อที่สะสมมาตลอดปีกว่ากลายเป็นความชินชาทำให้กล้าปฏิบัติตามกิจวัตรเหมือนเช่นทุกวัน เตียงนอนขนาดควีนไซส์ที่ปูด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลไร้ลวดลายบริเวณขวามือของเขาจึงกลายเป็นทางเลือกอย่างเลี่ยงไม่ได้

กล้าลอบยิ้มเมื่อนึกถึงสัมผัสนุ่มๆ ยามที่แผ่นหลังได้สัมผัสกับมัน

ในขณะที่เขากำลังจะเลื่อนเคอร์เซอร์เมาส์ไปกดปิดหน้าต่างเว็บเบราเซอร์ หน้าทามไลน์ทวิตเตอร์ที่เคยเงียบเหงากลับมีการเคลื่อนไหวให้เห็น

‘View 1 new tweet’

สมองที่อ่อนล้าของกล้าตอนนี้ไม่มีความคิดมากพอจะเดาว่าเจ้าของ 1 ทวีทนั้นคือใครเพราะสติที่เริ่มเลือนลาง เขาเลื่อนเมาส์ไปคลิกดูมันอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่

เน็ตเป็นคุยไรหรอม~* ‏@MisterHeartz 31s

ฝันดีนะ

ก็พบว่าเป็นทวีทบอกฝันดีของพี่เอก แคสเตอร์เกมในไทยคนนึงที่เขารู้จักมานานตั้งแต่สมัย 3-4 ปีที่แล้ว พี่เอกมักจะทำอย่างนี้เกือบทุกๆ วัน เหมือนเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของพี่แกไปแล้วเสียด้วย กล้ามองยอดรีและกดไลค์ทวีทนั้นที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะยิ้มออกมา

คนยังชอบเยอะเหมือนเดิมเลย

เมื่อก่อนเขาคิดว่าพี่เอกมีแฟนคลับเยอะมากแล้ว แต่ในปัจจุบันนี่กลับเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

กล้าไม่ได้กดเมนชั่นตอบทวีทนั้นเหมือนที่แฟนคลับหลายๆ คนทำเพราะเขาคิดว่าต่อให้ตอบไปในกล่องเมนชั่นพี่เอกตอนนี้ก็คงโดนหลายๆ ทวีทของพวกแฟนคลับดันให้หายไปอยู่ดี เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้คุยกับพี่นักแคสเกมคนนี้มาราวๆ ครึ่งปีได้แล้ว เขาจึงเลือกที่จะกดปิดหน้าเบราเซอร์เว็บแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงนอนพลางกวาดมือควานหาโทรศัพท์ที่คิดว่าคงอยู่ที่ไหนสักที่บนเตียงนี้

iPhone 6 plus สีดำถูกเขาคว้าเจอใต้หมอนข้าง เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามันไปอยู่ตรงนั้นได้ไง แอพพลิเคชั่นไลน์ถูกเปิดขึ้นก่อนที่เขาจะคลิกเข้าไปในแชทข้างบนสุด นิ้วเรียวพิมพ์ข้อความสั้นๆ ก่อนจะกดส่งไปยังปลายทางโดยที่ไม่ได้รอให้อีกฝั่งอ่านหรือตอบ กล้าก็กดล็อคจอโทรศัพท์ก่อนสอดมันเข้าไปไว้ที่เดิมที่หาเจอ

เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงด้วยความล้าจากการไม่ได้พักผ่อนมาตลอดสองวัน

ได้เวลานอนหลับสักที – กล้าบอกตัวเองแบบนั้น เขาดึงผ้านวมที่ถูกปริ้นท์ด้วยภาพหญ้าสีเขียวสดเต็มผืนมาห่มชิดอก ไม่นานนักสติของเขาก็ดับลงพร้อมๆ กับลมหายใจที่ถูกผ่อนออกมาอย่างสม่ำเสมอ

- Everytime I get up -

เวลาผ่านไปราว 12 ชั่วโมงได้กว่าที่กล้าจะตื่น

จริงๆ เขาเองไม่รู้หรอกว่ามันผ่านไปกี่ชั่วโมง หรือเวลาตอนนี้กี่โมง กล้าเลิกให้ความสนใจกับเวลามานานมากนับตั้งแต่เขากลายเป็นคนที่ขังตัวเองอยู่ในห้อง สิ่งเดียวที่บอกให้เขารับรู้เกี่ยวกับเวลาได้คือเลขดิจิตอลบนจอคอมพิวเตอร์ในตอนที่เขาเล่นมันเท่านั้น

โทรศัพท์มือถือราคาแพงที่ซื้อมาไม่ได้ถูกใช้ให้คุ้มค่าคุ้มราคา ถ้าใครที่สงสัยในเรื่องนั้นน่ะนะเพราะกล้าแทบจะไม่ได้แตะมันเลยด้วยซ้ำ บางทีเขาก็ลืมแม้กระทั่งว่าวางมันไว้ตรงไหน

กล้าลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ กล้าไม่ใช่คนพิถีพิถันในการอาบน้ำมากสักเท่าไหร่เขาจึงไม่ได้ใช้เวลาในนั้นนานมากนัก เสื้อผ้าในตู้ถูกหยิบออกไปอย่างไร้ความใส่ใจ เพราะกล้าก็ไ่ม่ได้สนใจว่าเขาจะต้องการใส่อะไรเช่นกัน

เสื้อยืดสีเทากับกางเกงวอร์มสีเดียวกันแต่เฉดเข้มกว่า การแต่งตัวอย่างลวกๆ กินเวลาไม่ถึงสองนาที กล้าเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปแขวนก่อนกลับมาเปิดคอมฯ ไม่นานนักบนจอก็ปรากฎหน้า desktop พร้อมไอคอนเกมส์และโปรแกรมมากมาย เขาเลื่อนเมาส์ก่อนคลิกเข้าไปในเบราเซอร์เพื่อเปิดดูข่าวสารโลกภายนอกในขณะที่เขานอนหลับ

หน้าทามไลน์ Twitter ในเวลานี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เขากดฟอลโลว์ไว้ กล้าเลื่อนมันลงมาเรื่อยๆ เพื่อหาข่าวสารที่สนใจ มีไม่กี่อย่างที่ทำให้เขาหยุดอ่าน อย่างเช่น ข่าวสารของเกม Overwatch หรือเรื่องการแข่งขันทัวร์ฯ เกมนี้ในไทย

น่าสนใจ – กล้าคิด

แต่มันก็แค่แวบเดียวเท่านั้นเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าต้องไปเจอผู้คนอีกมาก แถมยังต้องหาทีมไปลงแข่งอีกด้วย

ตอนนี้เขาแทบจะไม่รู้จักใครอยู่แล้ว ทุกคนค่อยๆ หายไปจากวงจรชีวิตของเขาทีละคนสองคน เรื่องที่จะหาทีมไปลงแข่งก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ดูไม่น่าเป็นไปได้สักนิด

กล้าเผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ภายในห้องสีทึมที่มีแค่แสงไฟจากหน้าจอคอมฯ ให้ความสว่าง กล้าเริ่มคิดว่ามันน่าเบื่อกับการใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกเหมือนเมื่อก่อน การเข้าสังคมเป็นที่สิ่งที่ในตอนนี้กล้าแทบคิดภาพไม่ออกเลยว่าตัวเองจะต้องวางตัวยังไงถ้าต้องไปอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก

มือถูกเลื่อนกดซ่อนหน้าต่างเบราเซอร์ก่อนที่จะคลิกเข้าไปที่ไอคอนเกม Overwatch แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเข้ามาแล้วเขาก็พบว่ามีผู้เล่นคนนึงส่งข้อความกระซิบมาหาเขา

[MISTERHEARTZ] : HEY KLA!

พี่เอกนั่นเอง ข้อความสีชมพูบ่งบอกให้รู้ว่านี่คือข้อความแบบกระซิบ ในหัวกล้ากำลังประมวลว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้พี่เอกทักตัวเองมาหลังจากที่ไม่ได้คุยกันนานเกือบครึ่งปี

[CIGARETTES] : hi p’

[MISTERHEARTZ] : play with me mai?

[CIGARETTES] : ok kub

บทสนทนาที่โต้ตอบมาพร้อมกับคำชวนเล่นเกมด้วยกันบนหน้าจอ กล้ากดตกลงแล้วก็พบว่าในทีมไม่ได้มีสมาชิกเพียงแค่พี่เอกคนเดียวแต่มีคนอยู่ด้วยอีกถึงสี่คน รวมเขากับพี่เอกด้วยก็ครบหกคนพอดี

(ไงกล้า) เสียงทุ้มของพี่เอกเอ่ยทักผ่านมาตามช่องทางการพูดคุยในเกม

“สวัสดีครับพี่เอก" กล้าเว้นช่วงหายใจไปแวบหนึ่งก่อนกล่าวสวัสดีกับทุกคนที่เหลือ เมาส์ในมือถูกเลื่อนคลิกเข้าไปดูข้อมูลการเล่นของผู้เล่นที่เหลือและพบว่าคนในทีมอีกสี่คนก็น่าจะมีฝีมือกันพอสมควร บางคนเขาก็เคยเห็นชื่อใน Twitch บ้างครั้งคราว

(เป็นไงบ้าง หายหน้าหายตาไปนานมากเลย เข้ามาTS ก่อนมั้ย)

“โอเคครับพี่" กล้ารับคำแค่นั้นก่อนกดสลับหน้าจอมาที่ desktop แล้วเปิดโปรแกรม TeamSpeak เข้าไปในห้องของคนที่เอ่ยปากชักชวน

(ยังไม่ได้ตอบอีกคำถามเลยนะ เป็นไงบ้าง หายไปไหนมา)

ประโยคคำถามถูกถามย้ำขึ้นมาอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คำตอบ กล้าลังเลที่จะพูดถึงสถานภาพชีวิตตัวเองตอนนี้ รวมๆ เขาก็อยากตอบว่าสบายดี แต่ให้มองในอีกมุมนึงมันก็ไม่ใช่การสบายดีที่มีผลดีสักเท่าไหร่

แต่รวมๆ ก็ดีมั้ง ? – กล้าคิด

“ก็ดีนะพี่ ไม่ได้หายไปไหน" เขาตอบอีกคนไปแค่นั้น

(อ่อ ก็ดีนะ) พี่เอกทวนคำตอบของเขาแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับเพื่อต่อบทสนทนาของเขาสองคนอีก แต่การพูดคุยสัพเพเหระระหว่างพี่เอกกับเพื่อนยังคงดำเนินไปจนกระทั่งหาห้องเล่นพบ

หน้าจอปรากฎด่าน Watchpoint: Gibraltar โดยที่ฝั่งของเขาเป็นฝ่าย Attack ก่อนนั่นหมายความว่าต้องเป็นฝ่ายโจมตีและดัน payload

(แล้วปกติกล้าเล่นตัวอะไร) หนึ่งในเพื่อนของพี่เอก ถ้าเขาจำเสียงไม่ผิดน่าจะชื่อพี่เจมส์เอ่ยถามขึ้นมาในขณะที่ทุกคนกำลังรอเลือกตัว

“แม็คครีครับ" กล้าตอบก่อนที่เขาจะกดเลือกแม็คครีเป็นตัวละครที่จะเล่น

(อื้ม.. จะแม่นมั้ยวะ) เสียงลังเลของพี่อาร์มถามขึ้นติดตลก กล้าก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาเท้าคางมองหน้าจอรอคนที่เหลือทีมเลือกตัวแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเมื่อเห็นทุกคนเลือกตัวเสร็จ

“ไม่มีใครจะเล่นแทงค์กับซัพพอร์ตอีกสัก 1 ตัวเหรอครับ" กล้าถามขึ้น หน้าจอปรากฎตัวละครดาเมจห้าตัวและซัพพอร์ตเพียงแค่ 1 ตัวเท่านั้น ซึ่งโอกาสที่จะชนะค่อนข้างยากหากทีมไม่มีแทงค์และมีซัพพอร์ตเพียงแค่ลูซิโอ้ที่ฮีลช้าถึงจะฮีลหมู่ก็ตาม

(เป็นนี่หว่า)

(เห้ยเอาว่ะ)

(ได้อยู่นะเอก)

เสียงในคอลดังขึ้นพร้อมๆ กันจนกล้าแยกเสียงแต่ละคนแทบไม่ออก สมาชิกบางคนในทีมกดเปลี่ยนตัวไปเล่นตามตำแหน่งที่ขาดหายอย่างที่กล้าท้วง

(เป็นไง บอกแล้วว่าเก่ง)

“อะไรเหรอพี่" กล้าถามเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มตามบทสนทนาไม่ทัน

(เดี๋ยวค่อยคุย เล่นก่อนๆ)

พี่เอกพูดจบเกมส์ก็เริ่มขึ้น การดันรถหรือ payload ไปให้ถึงประตูแรกภายในห้านาทีดูเป็นเรื่องสบายมากเมื่อไปกับทีมที่รู้งาน พวกเขาพา payload ไปถึงประตูแรกโดยเวลายังเหลือเวลาอีกหนึ่งนาทีกว่าๆ ซึ่งในการพาไปประตูที่สองพวกเขาก็จะได้เวลาเพิ่มขึ้น และเมื่อผ่านประตูที่สองไปได้พวกเขาก็จะได้เวลาเพิ่มขึ้นอีกเพื่อนำ payload เข้าไปที่จุดหมาย

แม้ว่าการนำ payload ไปประตูที่สองจะมีช่วงลำบากตรงที่อีกฝั่งเปลี่ยนตัวมาเพื่อรับมือกับทีมของเขาแต่ฝั่งของกล้าก็มีการเปลี่ยนตัวละครที่เล่นปรับไปตามรูปเกมเช่นกัน ไม่นานนักการดัน payload ไปยังประตูที่สองก็เสร็จโดยที่ระยะเวลาเหลือประมาณหนึ่งนาที และการพา payload เข้าจุดหมายก็ไม่อยากเลยเมื่อแทงค์ของอีกฝั่งตายทั้งคู่ กล้าใช้แม็คครีอันติจากข้างบนจนเก็บ Team Kill และให้ทีมดัน payload เข้าจุดหมาย

‘ Round 1 Complete ’

หน้าจอปรากฎประโยคที่บอกว่าการแข่งรอบแรกจบลงไปแล้ว โดยที่ทีมฝั่งของกล้าเก็บคะแนนนำไปก่อน 3-0 และเกมที่สองเริ่มต้นโดยขึ้นมีการสลับฝั่งซึ่งให้ทีมของเขามาเป็นฝ่าย Defend

กล้าหยิบแม็คครีเหมือนเดิม ส่วนคนที่เหลือในทีมก็เริ่มหยิบตัวละครที่จะเล่น ในขณะที่รอการโจมตีพวกเขาก็ได้พูดคุยกันเรื่องเกี่ยวกับที่จะลงแข่งทัวร์ฯ overwatch ของไทย กล้าอยากมีส่วนร่วมในบทสนทนานั้นแต่เขาไม่รู้ว่าจะแทรกตัวเองขึ้นไปตรงไหนดี ไม่กล้าพูดออกไปด้วยว่าสนใจเพราะเขาไม่รู้ว่านั่นสมควรไหมเลยเลือกที่จะเก็บความคิดนั้นไว้กับตัวเอง

(เนี่ย ขาดดาเมจไปคนนึงใช่ไหมล่ะ) พี่เอกพูดขึ้นพร้อมให้ตัวละครในเกมแสดงท่าทางที่ตั้งค่าเอาไว้ (ก็ให้กล้ามาเล่นมั้ยล่ะ กล้า ลงทัวร์ฯ overwatch ทีมใครไปยัง)

ราวกับว่าคนปลายสายอ่านใจเขาออก ประโยคคำถามที่อีกฝ่ายถามมันออกมาอย่างง่ายดายฟังดูเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุดในรอบหนึ่งปีที่เกิดขึ้นเพราะการอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมนอกจากได้ใช้ชีวิตแบบตามใจชอบก็ไม่ได้มีอะไรดีไปมากกว่านี้สักเท่าไหร่

“ยังไม่ไ่ด้ลงทีมใครเลยพี่ ให้ผมลงด้วยจริงเหรอ" เขาปิดน้ำเสียงตื่นเต้นของตัวเองไม่มิด แน่นอน เขาดีใจมากกับคำชวนที่อีกคนถาม

(จริงดิ) เสียงทุ้มของพี่เอกตอบกลับมาอย่างใจดี

กล้ารู้สึกใจเต้นกับคำตอบที่ได้ยินมากๆ คนอื่นในทีมก็ดูเห็นดีเห็นงามกับการให้กล้ามาร่วมทีมด้วย ถึงแม้กล้าจะยังกังวลเรื่องการเข้าสังคมอยู่บ้าง แต่แน่นอนเขาจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นมาปล่อยให้เขาพลาดโอกาสดีๆ

การโจมตีของฝั่ง Attackเริ่มขึ้นเมื่อประตูฐานฝั่งโจมตีเปิด ความสนใจถูกละไปจากประเด็นที่พูดกันเมื่อครู่ กล้าเล่นเกมด้วยอารมณ์ดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานานนับปี เกมดำเนินต่อเนื่องและจบด้วยความรวดเร็วในระยะเวลาเพียงห้านาทีเมื่ออีกฝั่งไม่สามารถดัน payload ให้ไปถึงประตูแรกได้

‘Match Complete’

กล้ายกยิ้มอย่างดีใจเมื่อผลเกมปรากฎคำว่า VICTORY บนหน้าจอคอมฯ

หลังจากจบแมทช์แรก กล้าและพี่เอกรวมถึงเพื่อนๆ ก็ยังเล่นเกมด้วยกันต่ออีกหลายแมทช์ มีบางแมทช์ที่แพ้แต่สำหรับกล้ามันเป็นการแพ้ที่ไม่น่าเสียใจเลยเพราะทุกคนได้ทำอย่างเต็มที่ การใช้ชีวิตในห้องและการอยู่กับหน้าจอสี่เหลี่ยมดูไม่ใช่เรื่องแย่หรือน่าเบื่อจนมากเกินอีกต่อไป แต่ระยะเวลาความสุขมักผ่านไปเร็ว รู้ตัวอีกพวกเขาก็เล่นเกมด้วยกันไปเกือบ 10 ชั่วโมง ร่างกายของกล้าและคนอื่นๆ เริ่มประท้วงว่าเหนื่อยล้ากับการนั่งอยู่กับที่เต็มทน

(เออ ไปก่อนนะ ไว้เล่นกันใหม่) เป็นพี่เจมส์ที่กล่าวคำบอกลาคนแรกก่อนจะออกไปจาก TS ตามด้วยคนอื่นๆ จนเหลือเพียงแค่เขากับพี่เอก

(กล้าจะนอนหรือยัง) เสียงทุ้มของอีกฝ่ายเอ่ยถามกล้าในขณะที่ตอนเขากำลังกดออกจากเกมและเปิดเว็บอ่านการ์ตูน

“ยังหรอกพี่ ผมว่าวันนี้จะไม่นอน" กล้าตอบไปตามจริง เขาแค่ล้าแต่ไม่ได้มีอาการง่วงนอนมากสักเท่าไหร่ เขามีการ์ตูนที่อยากดูและมังงะอีกหลายเรื่องที่อยากอ่านถ้าหากไม่ได้เล่นเกม

(แล้วอยู่ทำอะไรถึงไม่นอน) พี่เอกตอบด้วยน้ำเสียงติดดุจนกล้าแอบตกใจว่าอีกฝ่ายจะโกรธหรือไม่พอใจอะไรขึ้นมาหรือเปล่า

“ผมก็.. หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกๆ คืนน่ะ" กล้าตอบอีกคนอย่างหวั่นๆ หวังว่าอีกคนจะไม่ดุตัวเอง ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่รู้สาเหตุเลยว่าถ้าอีกฝั่งจะไม่พอใจเขาจะมาไม่พอใจเรื่องอะไร

(ทำไมชอบอดนอน)

“ชอบอดนอน ?” คำถามที่ฟังดูเหมือนไม่ต้องการคำตอบจากปลายสายชวนให้กล้าคิดตามอย่างฉงน

(ช่างมัน พรุ่งนี้ว่างมั้ย ถ้าพี่นัดเรามากินข้าวจะออกมาได้หรือเปล่า) น้ำเสียงที่กลับมาปกติทำให้กล้าลอบถอนหายใจ

“นัดกินข้าวข้างนอกเหรอ" กล้าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ไม่รู้สิ.. เขาไม่มีความคิดที่อยากออกไปเดินเที่ยวข้างนอกมานานแล้ว

(ใช่ จะนัดมาคุยเรื่องทีมน่ะ)

“อ๋อ งั้นได้ดิพี่" เหมือนเป็นประโยคตอบรับอัตโนมัติเมื่อได้ยินว่าจะคุยเรื่องทีม กล้าตอบตกลงไปโดยที่ไม่ผ่านกระบวนการคิดเหมือนที่คิดกับเรื่องอื่นๆ ด้วยซ้ำ

(โอเค งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นๆ เจอกัน)

หลังจากที่คุยกันเรื่องสถานที่และเวลาเสร็จสิ้น พี่เอกกล่าวคำลาเพียงเท่านั้นก่อนออกไปจาก TS เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วกล้าจะจึงปิดโปรแกรมลง

ความดีใจเมื่อครู่ยังคงติดค้างอยู่ในความรู้สึก

แต่ความกังวลที่ต้องออกไปข้างนอกก็มีมากพอๆ กัน

- Every time I get up -

เพราะหลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทั้งคืนจนเช้า ทำให้ร่างกายกล้ารู้สึกล้าและอ่อนเพลียมากกว่าที่ควรเป็น

อาการตื่นเต้น และวิตกกังวลจากเหตุผลที่ต้องไปออกข้างนอกในวันนี้ยิ่งทำให้กล้ารู้สึกแย่ตั้งแต่หัววันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ก้าวขาออกจากห้องด้วยซ้ำ

อีกอย่างนี่เพิ่งจะสิบโมง นาฬิกาดิจิตอลบนจอโทรศัพท์บอกเขาอย่างนั้น เพราะนอนไม่หลับจริงๆ จังๆ กล้าเลยตัดสินใจตื่นมานอนเปิดโทรทัศน์ดูตั้งแต่เช้า

ร่างกายปั่นป่วนไปหมด – กล้านึกสบถอย่างหัวเสีย

เขานอนขดอยู่บนเตียง ความรู้สึกแย่ที่ถาโถมเข้ามาทำให้เขารู้สึกปวดท้องจนอยากโทรไปปฏิเสธนัดวันนี้ขึ้นมาทันที แต่ก็นั่นแหละ กล้าไม่อยากปล่อยให้โอกาสในการได้ลงแข่งเกมครั้งนี้ต้องหลุดลอยไปเพราะงั้นวันนี้เขาก็คงต้องฝืนร่างกายและความรู้สึกตัวเองออกไปข้างนอกนั่นเพื่อพบกับพี่เอกและคนอื่นๆ ในทีม

ข้างนอกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และความน่าเบื่อของการเข้าสังคมที่ไม่จำเป็น

กล้าคิดแบบนั้นกับโลกภายนอกมาตลอดหลังจากที่เริ่มตัดสินใจขังตัวเองไว้ในนี้.. ในโลกที่มีแค่เพียงเขากับสิ่งที่เขาชอบ ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองในสิ่งที่ไม่จำเป็น และไม่ต้องทนกับความรู้สึกแย่ที่ใครหลายๆ คนสร้างขึ้นเพื่อโยนมันมาให้เขา

‘ครืด.. ครืด..’

เสียงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ข้างตัวดึงความสนใจของกล้าให้ละออกจากความคิด เขาหยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากพี่เอก

“สวัสดีครับ" กล้ากดรับพร้อมกรอกคำทักทายปลายสาย

(ไงกล้า ตื่นหรือยัง) เสียงทุ้มที่เจือความเอ็นดูของอีกฝ่ายทำให้กล้ารู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย

“ตื่นได้สักพักแล้วครับ" เขาตอบอีกคนกลับไป

(เหรอ งั้นออกมาตอนนี้เลยได้มั้ย พี่อยากพาเราไปเดินเล่นก่อนน่ะ)

ราวกับว่าพระเจ้าจงใจให้วันนี้ไม่ใช่วันของเขา คำสบถเป็นสิบๆ คำดังอยู่ในหัวของกล้าแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้ เขาไม่ได้อยากสบถใส่อีกคนแต่อยากสบถให้กับเฮงซวยของการเริ่มต้นวันนี้เท่านั้นแหละ

การอ้ำอึ้งรอให้อีกฝ่ายคอยคำตอบไม่ใช่เรื่องที่ดี แล้วยิ่งกับคนที่อาวุโสกว่า กล้าคิดจนสมองแทบระเบิดว่าจะควรจะปฏิเสธอีกฝ่ายไปแบบไหนแต่คิดแล้วคิดอีกเขาก็หาเหตุผลที่เข้าท่าไม่ได้ สุดท้ายก็จนปัญญาตอบตกลงออกไป

“บ้าชิบ" กล้าสบถกับตัวเองเมื่ออีกคนวางสายไปแล้ว

เลื่อนระยะเวลาออกจากห้องมาถึง 6 ชั่วโมงแบบนี้ เขาไม่ทันได้เตรียมใจเลยให้ตายสิ

นอกจากการออกไปร้านสะดวกซื้อตอนกลางดึกกล้าก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน

ไม่ได้เจอผู้คนที่เดินขวักไขว่มากมายขนาดนี้มาปีกว่าๆ ทำให้กล้ารู้สึกประหม่าและไม่เป็นตัวเองสักนิด

เหมือนถูกคุกคามความเป็นส่วนตัว

กล้ายืนสั่นขาอย่างคนไม่มีสมาธิเมื่อเห็นคนเดินผ่านไปผ่านมา

เขายืนรอพี่เอกอยู่หน้าทางลงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพหลโยธิน สถานที่พี่เอกนัดเขามาเพื่อที่จะรับไปเดินเล่นต่ออีกที กล้าได้แต่มองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วได้แต่คิดว่าการเดินเล่นอีกห้าชั่วโมงคงเป็นอะไรที่ยาวนานมากกว่าจะได้ไปเจอสมาชิกคนอื่นในทีม

ห้าชั่วโมงกับการเดินเล่นดูเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลสักนิด

เขาคิดแบบนั้น แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรอีกฝ่ายมากไปกว่าการตอบรับคำชวน

เสียงเตือนข้อความเข้าทางโทรศัพท์ เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นข้อความของพี่เอกที่ส่งมาบอกว่าใกล้ถึงแล้วให้ยืนรออยู่ใกล้ๆ ริมถนน

รถโฟล์คบีทเทิลที่กล้าไม่มั่นใจว่ารุ่นอะไรหรือปีไหนวิ่งให้เห็นสีแดงมาแต่ไกลก่อนมาจอดอยู่แถวบริเวณที่กล้ายืนรออยู่ หน้าต่างรถถูกลดลงก่อนจะเผยใบหน้าคนขับที่กล้าคุ้นเคย

พี่เอกมาถึงแล้ว

ตัวรถที่แล่นมาทางถนนลาดพร้าวทำให้กล้าไม่มั่นใจว่าพี่เอกจะพาเขาไปไหน

เดอะมอลล์บางกะปิ ? กล้าคิดในใจแต่ไม่ไ่ด้ถามออกไป

ความไม่มั่นใจเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อพี่เอกยูเทิร์นรถกลับมาอีกฝั่งก่อนขับต่อและเลี้ยวเข้าซอยสักซอย

กล้าไม่รู้ตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปถึงทำให้คนขับรถกำลังหัวเราะราวกับเจอเรื่องขบขันมากขนาดนั้น

“อะถึงแล้ว" พี่เอกพูดพลางพยายามถอยรถเข้าซองที่ลานจอดรถของร้านอะไรสักอย่าง

“พี่พาผมมาที่ไหนเหรอ ?” กล้าหันไปสบตาถามคนขับที่ตอนนี้กำลังจะดับเครื่องยนต์

พี่เอกไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาหันมาส่งยิ้มให้กล้าเพียงเล็กน้อยก่อนออกไปจากตัวรถพร้อมเรียกให้กล้าลงและเดินตามเขาเข้าไป พี่เอกเดินนำกล้าเข้าไปในร้านอาหาร ไม่สิ.. กล้าคงจะเรียกร้านนี้ว่าคาเฟ่มากกว่าร้านอาหาร เพราะกลิ่นของกาแฟและกลิ่นหอมของเบเกอรี่ที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายนั่นทำให้กล้าเริ่มรู้สึกดีขึ้น

“ชอบมั้ย ?” คำถามสั้นๆ จากคนที่พามาทำให้กล้าหันไปมองหน้า

“ไม่รู้สิ บรรยากาศก็ดีนะครับ" เขาตอบตามความจริง ตัวคาเฟ่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ให้กลิ่นอายวัสดุของมันได้ดี และเมื่อมันอยู่ท่ามกลางเหล่าบรรดานานาพืชพรรณสีเขียวที่อยู่รอบๆ ยิ่งทำให้ที่นี่เป็นคาเฟ่ที่เหมาะสมกับการหนีบรรยากาศในกรุงที่วุ่นวายหรือความเบื่อหน่ายจากการอยู่ในห้องทั้งวันมานั่งพักผ่อนหรือมานั่งทำงาน "พี่คงไม่ได้พาผมมาเดินเล่นที่นี่ถึงห้าชั่วโมงหรอกนะ" เขาถาม

“คิดว่ายังไงล่ะ บรรยากาศไม่ดีพอให้นั่งซึบซับมันนานๆ เหรอ ?”

เขาไม่เข้าใจพี่เอกสักนิดว่าทำไมต้องพาเขามาที่นี่

คำถามที่อีกคนส่งกลับมาพร้อมรอยยิ้มนั่นทำให้กล้าเลือกที่จะไม่ตอบให้บทสนทนา ไม่รู้ว่าเพราะถ้อยคำที่แฝงความนัยอะไรบางอย่างกับรอยยิ้มบนมุมปากทั้งสองนั่นทำให้กล้าเริ่มคิดว่าทุกอย่างชักจะแปลกขึ้นไปทุกที แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยถามอะไรออกไปเหมือนเดิมเพราะกล้าคิดว่าตัวเขาคิดมากไปเองเท่านั้น

อาการกลัวคนของกล้าทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันของเขากลายเป็นเรื่องยาก พฤติกรรมบางอย่างที่ไม่จำเป็นของมนุษย์ทำให้กล้าไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาทำ

อย่างเช่นพฤติกรรมคนตรงหน้าที่นึกครึ้มดีอะไรพาเขามาที่คาเฟ่เพื่อสั่งเค้กและกาแฟกิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ติดต่อกันนานกว่าครึ่งปีด้วยซ้ำ

เอกหันมาสบตาอีกคนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกจ้องมองอยู่ กล้าที่นั่งนิ่งจ้องหน้าเขาราวกับต้องการคำตอบอะไรบางอย่างจากการที่ลากตัวเองออกมาที่นี่ ใบหน้านั้นที่เอกเห็นกี่ทีก็นึกอยากหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู

ทั้งๆ ที่ไม่ได้ติดต่อกันนานกว่าครึ่งปีแท้ๆ – เอกคิดในใจ

หลังจากที่เอกแทบจะไม่ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับรุ่นน้องตรงหน้า เขาได้นึกเอะใจอยู่หลายครั้งว่ากล้าหายไปไหน จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนที่เขาได้คุยกับเพื่อนสนิทของกล้าที่เล่นเกมด้วยกันบ่อยๆ ก็ได้ข้อมูลมาว่ากล้าขังตัวเองอยู่ในห้องของตัวเองมานานกว่าหนึ่งปีได้แล้ว ตัดขาดจากโลกภายนอกและคนรู้จักแทบจะสิ้นเชิง มีเพียงคนที่บ้านไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้ายังคุยด้วยและได้เห็นหน้าเขาบ้างในกลางดึกเวลากล้าออกไปร้านสะดวกซื้อ

ช่วงแรกทุกคนไปหากล้าที่บ้านแต่เขาไม่อยากออกมาเจอกับใครเลย เขาให้เหตุผลว่าไม่สบายและต้องการพักผ่อน นานๆ เข้าก็ไม่มีใครไปหากล้าอีก จนในที่สุดกล้าเหลือเพียงแค่เพื่อนสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคุยด้วย

ครั้งแรกที่เอกได้ยินเขาไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไงที่กลายเป็นหนึ่งในคนที่กล้าไม่ต้องการรู้จักอีกต่อไป เขาทั้งโกรธและไม่พอใจที่อีกคนตัดขาดไปแบบนั้น และรู้สึกเสียใจและน้อยใจที่ตัวเองไม่สำคัญพอให้กล้าเลือกที่จะรู้จักต่อ ทั้งๆ ที่เขารู้จักกันมานาน 3-4 ปี และเป็นพี่น้องที่เคยสนิทกันมาก

เอกไม่ได้ติดต่อไปหากล้าในทันที เขายอมรับว่าตัวเองไม่พอใจการตัดสินใจแบบนั้นของอีกฝ่าย ความรู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกลดความสำคัญทำให้เอกรู้สึกแย่กับกล้าไปไม่น้อยในช่วงนั้น

แต่เรื่องที่เขาได้ยินมาเขาก็อดจะเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี

เอกใช้เวลาส่วนนึงของแต่ละวันในการหาข้อมูลของอาการเก็บตัวอยู่กับห้อง จนกระทั่งเขาได้เจอกับคำว่าฮิคิโคโมริในกูเกิ้ล เป็นชื่อเรียกอาการกลุ่มคนที่ชอบเก็บตัวอยู่กับห้อง รักสันโดษ กันตัวเองออกจากผู้คน โดยสาเหตุก็มีหลายปัจจัย มีตั้งแต่แค่ขี้เกียจไม่อยากไปเรียน อยากดูการ์ตูน ติดเกมมากเกินไป ไม่อยากเจอผู้คน เจอเรื่องสะเทือนใจจากคนรอบข้าง หรือหนักที่สุดก็คือสภาวะทางจิตผิดปกติ

ในตอนนั้นเอกไม่มีความคิดเลยว่าเพราะเหตุผลในข้อไหนที่เข้าท่ากับการทำให้กล้ากลายเป็นพวกเก็บตัวแบบนั้น เพราะติดเกมงั้นเหรอ.. ก็ไม่น่าใช่ เพราะกล้าเป็นคนมีความรับผิดชอบกับหน้าที่ของตัวเอง และเป็นคนร่าเริงมาตลอด เป็นที่พึ่งพาได้สำหรับคนรอบข้างและเป็นที่รักในหมู่เพื่อนฝูง

“สบายดีมั้ย ?” เป็นเอกที่ละความสนความใจออกมาจากความคิด เขาเอ่ยถามคนตรงหน้าที่ได้แต่นั่งจิบโกโก้ร้อนด้วยท่าทางกระสับกระส่าย

กล้าแสดงท่าทางแบบนั้นออกมาให้เห็นตั้งแต่ยืนรอเขาที่ริมถนนหน้าสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว

“ก็ดี.. ผมคิดว่างั้นนะ" กล้าลอบตอบ น้ำเสียงไม่มั่นใจและท่าทางแบบนั้นสำหรับเอกก็ยังคงคิดว่ามันน่าเอ็นดู

เขาหลุดหัวเราะออกมาอีกจนได้

“มีอะไรตลกนัก" กล้าบ่นอุบอิบ

เอกไม่ได้ตอบแต่เขาแค่ส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้อีกฝ่าย

กล้าเปลี่ยนไปเยอะมากๆ จากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ทั้งนิสัย และรูปร่างทางกายภาพ ร่างกายผอมลงจากเดิมและส่วนสูงที่มากขึ้น กล้ามเนื้ออ่อนๆ ที่เห็นได้ชัดเจนทำให้กล้าดูโตเป็นผู้ชายขึ้นมากกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอ แต่ที่เปลี่ยนไปมากที่สุดก็คงจะเป็นนิสัย

กล้ากลายเป็นคนพูดน้อยมากกว่าที่คิด กล้าที่เคยมีอารมณ์ขันและรอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าตลอดเวลา กล้าคนนั้นหายไปแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น กล้าที่พูดน้อยและแสดงท่าทางกระสับกระส่ายตลอดเวลาโดยที่ในมือถือทั้งสองข้างถือแก้วโกโกร้อนไว้แบบนั้นก็น่ามองดี

“พี่มองอะไรนัก" กล้าบ่นท้วงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่าโดนอีกฝ่ายจับจ้องนานเกินไป

“เปล่า..” เอกได้แต่หัวเราะออกมาแห้งๆ เมื่อถูกอีกคนจับได้ "ขอโทษนะ"

กล้าไม่ตอบอะไร เอกเห็นอีกคนแค่เบนหน้าหนีไปอีกฝั่ง

ขี้อาย ? – เอกนึกสงสัยในใจ

เขาไม่เคยคิดสักนิดว่าคนแบบกล้าจะมีอาการขี้อาย

“อร่อยมั้ย ?” เขาเป็นฝ่ายชวนคุยอีกครั้ง

“หือ ?”

“โกโก้ในมือน่ะอร่อยมั้ย เห็นดื่มตั้งนานไม่หมดสักที ไม่เย็นไปหมดแล้วเหรอ"

“อื้ม.. ก็อร่อยนะครับ" กล้าตอบก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ

“อ้าว ไม่กินต่อแล้ว ?” เอกถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายวางแก้วโกโก้ลงบนโต๊ะ

“ผมจะไปเข้าห้องน้ำ" กล้าตอบเพียงแค่นั้นก่อนเดินออกไปจากโต๊ะทิ้งให้เอกงงกับท่าทางที่เปลี่ยนอย่างกะทะหัน

กล้าไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้

ไม่ชอบที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่

รอยยิ้มที่ดูใจดีนั่นดูเหมือนมีบางอย่างซ่อนไว้ น้ำเสียงที่พูดออกมาราวกับต้องการจะรู้อะไรบางอย่าง

ระแวง – กล้าไม่ชอบที่ตัวเองต้องมารู้สึกอะไรแบบนี้กับคนที่เคยรู้จักหรือสนิทด้วยเลย

แล้วยิ่งกับพี่เอก.. เขาไม่อยากรู้สึกระแวงคนๆ นี้เลย

กล้าถอนหายใจออกมาแล้วกอบโกยอากาศเข้าไปในปอดใหม่ เขาสูดอากาศเข้าไปเฮือกใหญ่เพื่อหวังให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองเท่าที่จะทำให้ตั้งสติได้ “ใจเย็นๆ.. ใจเย็นๆ" เขาพร่ำบอกตัวเองอยู่นานสองนานก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำออกมา

“พี่เอก..” แล้วกล้าก็ต้องตกใจเมื่อเห็นคนที่ตัวเองเพิ่งหนีมายืนอยู่หน้าอ่างล้างมือ

เพราะห้องน้ำชายมีทั้งโถยืนและห้องย่อยภายใน เขาไม่คิดเลยว่าพอตัวเองออกมาจากห้องน้ำเล็กแล้วจะมาเจออีกคนยืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ เขาตกใจ ความระแวงในตัวอีกคนสั่งให้กล้าก้าวถอยหลังเข้าไปในห้องน้ำที่เพิ่งออกมา

“เสร็จแล้วเหรอ" อีกฝ่ายพูดพลางส่งรอยยิ้มบางๆ มาให้

รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว..

กล้าอยากจะสบถออกมาจริงๆ เขากำลังรู้สึกหัวเสียอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกมาปีกว่า

ความหงุดหงิดที่แล่นไปทั่วตัว ความกลัวที่ทำให้ร่างกายสั่น และความระแวงที่กำลังจะทำให้เขาเสียสติ

“ผม.. รู้สึกไม่ค่อยดี ถ้าพี่ไม่ว่าผมจะขอตัวกลับก่อน" กล้าตอบออกไปแบบนั้นหวังให้อีกคนไม่ถามอะไรไปมากกว่านี้

แต่วันนี้พระเจ้าไม่ฟังคำภาวนาของกล้าแม้แต่นิด

“เป็นอะไรหรือเปล่า ?” น้ำเสียงห่วงใยที่อีกคนใช้กลับทำให้กล้ารู้สึกอึดอัดมากกว่าสบายใจแบบที่ควรจะเป็น

“เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ขอตัวนะครับ" กล้าบอกอีกคนแค่นั้น เขาพยายามที่จะเดินสวนอีกฝ่ายเพื่อที่จะออกจากห้องน้ำชาย แต่เหมือนจะไม่เป็นผลเมื่อพี่เอกเดินเข้ามาใกล้ ขนาดความสูงและสัดส่วนของร่างกายที่ใหญ่โตกว่าทำให้กล้าไม่สามารถทำได้อย่างที่คิดเมื่อตอนนี้ตัวเขาก็ต้องถอยหลังหนีอีกฝ่ายจนเข้าใกล้กับประตูห้องน้ำเล็กที่อยู่ข้างหลังเข้าไปทุกที

“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วจะรีบกลับทำไม กล้าแปลกๆ ไปนะ" ตอนนี้ร่างสูงของพี่เอกก้าวเข้ามาใกล้จนแทบชิดจนกล้าเริ่มรู้สึกอึดอัด

กล้ากำลังรู้สึกว่าเขาแบกรับความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาหาตัวเองไม่ไหวแล้ว ทุกความรู้สึกกำลังบีบอัดให้ภายในร่างกายของเขาปั่นป่วนจนต้องร้องไห้ออกมา

อ่อนแอ ห่วยแตก น่าสมเพชชะมัด.. เขาไม่ชอบที่ตัวเองต้องรู้สึกแบบนี้เลย

กล้าไม่รู้ว่าพี่เอกต้องการอะไร กล้าไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องรู้สึกหรือกลายเป็นแบบนี้ เขาไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ เขาคิดอยู่แล้วว่าวันนี้มันจะต้องห่วย

“กล้าเป็นอะไร.. บอกพี่สิ" เสียงที่ยังคงความอบอุ่นและห่วงใยดังขึ้นใกล้หู พร้อมๆ กับความอบอุ่นที่อีกคนมอบมาให้

อ้อมแขนแกร่งที่โอบกอดกล้าไว้ในตอนนี้ให้ความอบอุ่นและความสงบทางจิตใจได้อย่างประหลาด ความระแวงที่เคยมีในตัวอีกคนหายไปราวกับกล้าไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันแปรเปลี่ยนความรู้สึกที่ดีขึ้น เขารู้สึกวางใจในตัวอีกคนอย่างน่าประหลาดใจเพียงแค่ได้รับอ้อมกอดเดียว

ราวกับว่าร่างกายเคยจดจำการสัมผัสได้

มือหนาที่อีกฝ่ายใช้มันปลอบประโลมตัวเขา ศีรษะรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนทุกครั้งที่อีกฝ่ายค่อยๆ ลูบมันอย่างเบามือ

“กล้าเป็นอะไร บอกพี่ได้ไหมครับ"

- Every time I get up -

คราบน้ำตาที่ยังไม่แห้งดีทิ้งรอยไม่ชัดมากอยู่บนเสื้อของเอก เขาชอบที่ยังคงรู้สึกถึงไออุ่นของกล้าอยู่ตรงอก แต่เขาก็ไม่ชอบที่ต้องรับรู้ถึงน้ำตาที่ตนเองเป็นต้นเหตุ

กล้าสารภาพออกมาว่าเพราะกลัวซึ่งตัวกล้าเองก็หาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ แต่ความรู้สึกตอนนั้นมันแย่จนถาโถมเข้ามาทำให้เขาต้องร้องไห้ออกมา

เอกยอมรับว่าเลยว่าตัวเขาเองตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นไหล่ของกล้าที่สั่นไหวเพราะแรงสะอื้นนั่นดูบอบบางจนเขารู้สึกว่าอยากกอดอีกคนเอาไว้แน่นๆ เอกไม่รู้เลยว่าตลอดปีที่ผ่านมาหรือก่อนหน้า 1 ปีนี้กล้าต้องอดทนเก็บอะไรไว้ในใจบ้าง กล้าต้องอดทนขนาดไหนจนถึงวันที่ความอดทนนั่นหมดลงแล้วเขาเลือกที่จะหันหลังให้ทุกๆ คนที่เคยรู้จัก

เอกไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรให้คนตรงหน้ารู้สึกดีขึ้น ถ้อยคำที่อยากพูดถูกกลืนลงคอไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ฟูมฟายอย่างน่าสงสาร เพราะไม่รู้ต้องทำยังไงเขาจังตัดสินใจเอื้อมไปกอดอีกคนไว้แนบอกหวังให้ความเศร้าของกล้าได้คลายลงบ้าง

ตอนนี้กล้ายังคงนั่งสะอื้นอยู่ที่เบาะข้างๆ คนขับ

หลังจากเกิดเหตุการณ์ในห้องน้ำชายที่ร้านคาเฟ่ เอกตัดสินใจเช็คบิลและพากล้าออกมาจากร้าน เขาตั้งใจพากล้าออกมาเพื่อหาสถานที่ปลอดผู้คน เอกอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายและเขาก็ต้องการจะคุยกับอีกคนในอีกหลายเรื่อง

นี่เหรอที่บอกว่าสบายดี – เขาได้แต่นึกดุอีกคนอย่างเป็นห่วงแต่ไม่ได้พูดออกไป

เสียงเพลงในวิทยุเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ทั้งรถไม่อึมครึมมากเกินจำเป็น เอกยังคงขับรถไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้คิดจะพาอีกคนกลับไปส่งที่บ้านเพราะตอนเย็นยังไงเขากับกล้าต้องไปคุยเรื่องทีมกับสมาชิกที่เหลืออยู่ดี

“อยากไปไหนอีกมั้ย ?” เอกหันไปถามอีกคนที่ตอนนี้นั่งนิ่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

“ไม่" คำตอบสั้นๆ ที่ฟังดูเลื่อนลอยไม่แพ้สายตาสีน้ำเงินคู่นั้นทำให้เอกนึกเป็นห่วงขึ้นมาจับใจ

“กล้า.." น้ำเสียงของเอกวูบไหวไปตามอารมณ์ เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะบังคับน้ำเสียงให้ปกติได้อย่างไรในเมื่อรุ่นน้องคนนี้เป็นคนที่เขาห่วงใยมากเหลือเกิน "มีอะไรก็บอกกับพี่ได้นะ"

ถึงจะเป็นว่านานกว่าครึ่งปีที่ไม่ได้คุยกันแต่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อรุ่นน้องคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย

กล้าไม่รู้ว่าอีกคนกำลังจะพาเขาไปไหน รถโฟล์คบีทเทิลคันเดิมยังคงแล่นไปบนถนนสักสายซึ่งกล้าไม่ได้ให้ความสนใจว่ามันกำลังมุ่งหน้าไปสถานที่ใด เขาอยู่บนรถคันนี้มานานเกือบสองชั่วโมงได้ตั้งแต่ออกมาจากร้านคาเฟ่นั่น

ดูไม่ใช่เวลาที่นานผิดปกติเท่าไหร่ถ้าพูดถึงการจราจรที่แสนจะติดขัดของเมืองไทย

กล้าหยุดร้องไห้ได้สักพักแล้ว เขาไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องปล่อยให้น้ำตาของตัวเองไหลออกมานานและมากขนาดนั้น มันก็แค่ความรู้สึกชั่ววูบหนึ่งที่ทำให้เป็นแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ.. เขาบังคับตัวเองไม่ให้รู้สึกแย่ไม่ได้เลย

คนขับยังคงสนใจแต่ถนนข้างหน้า ต่างจากเขาที่ได้แต่มองอีกคนอย่างนึกสงสัยว่าทำไมต้องเรียกให้ออกมาก่อนเวลานัดนานขนาดนี้ กล้ามองเอกอยู่นานจนอีกฝ่ายรู้สึกตัวเมื่อนัยน์ตาสีแดงเข้มหันมาสบกันพอดี

ไร้ซึ่งคำถามจากอีกฝ่ายหรือแม้แต่การพูดคุย มีเพียงแค่สายตาสองคู่ที่สบกันเนิ่นนาน

กล้าเลือกที่จะเป็นฝ่ายหันหนีสายตาที่อีกคนทอดมองมา

สายตาที่อัดอั้นด้วยอะไรบางอย่างที่กล้าไม่เข้าใจ

ก็คงจะมีแต่เสียงเพลงในวิทยุเท่านั้นที่ยังคงดังขัดความเงียบที่แสนจะอึมครึมภายในรถ มันน่าอึดอัดจนกล้าอดจะถอนหายใจเอาบางอย่างที่จุกอยู่ในอกออกมาไม่ได้

เขาคิดอยู่แล้วว่าวันนี้มันจะต้องห่วย

ความเงียบที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้กล้ารู้สึกบีบรัดภายในอก ความอึดอัดและความต้องการที่จะรู้เหตุผลของการกระทำอีกฝ่ายมีแน่นเต็มไปหมดทั้งในความรู้สึกและในความคิด ในขณะที่อีกฝ่ายก็ยังคงทำตัวเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มันน่าหงุดหงิดมากๆ ในความคิดของเขา และทั้งหมดนั่นกำลังจะทำให้ความรู้สึกแย่ตีย้อนกลับมาอีกรอบ

กล้าเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไปทั้งๆ ที่เขามีเรื่องอยากถามอีกฝ่ายเต็มไปหมด แต่เพราะเขารู้ดีว่าอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้แปรปรวนมากขนาดไหนเขาถึงเลือกที่จะเงียบมากกว่าที่จะเปิดปากพูดอะไรออกไป

ซึ่งมันเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกห่วยแตกได้ดีมาก

และมันโคตรจะน่าหงุดหงิดไปพร้อมๆ กัน

“ไปห้องพี่ก่อนแล้วกัน" ความเงียบถูกทำลายด้วยถ้อยคำจากคนที่โตกว่า กล้าหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เสียงหัวเราะที่ถูกแค่นออกมาให้ความรู้สึกไม่พอใจปนอยู่ในนั้น

เอกได้ยินและรู้สึกถึงความไม่พอใจนั้นแต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจมัน ตอนนี้เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าอะไรที่ทำให้รุ่นน้องคนนี้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เหตุผลอะไรที่ทำให้กล้ากลายเป็นคนอารมณ์ร้ายและเลือกที่ขังตัวเองไว้ในห้องแบบนั้น

- Every time I get up -

กล้านั่งประหม่าอยู่บนโซฟา อย่างน้อยก็ท่าทางดีกว่าตอนอยู่ที่คาเฟ่

เอกพากล้ามาที่ห้องชุดที่เขาซื้อไว้บนคอนโดหรูย่านใจกลางกรุง ด้วยความสูงเกือบชั้นที่ 30 ทำให้วิวรอบข้างน่ามองมากกว่าตอนที่พวกเขาติดอยู่บนรถโฟล์คบีทเทิลคันเล็กเกือบสองชั่วโมงครึ่ง

กล้าดูผ่อนคลายลงมาก นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้นทอดมองออกไปนอกบานกระจกราวกับว่าไม่เคยเห็นท้องฟ้าแบบนี้มาก่อน กล้ามองมันอยู่ราวๆ สิบนาทีได้แล้วนับตั้งแต่ที่เขาพาอีกคนขึ้นมาบนห้อง

“ท้องฟ้ามันก็เหมือนเดิมทุกวัน จ้องอะไรขนาดนั้น" เอกพูดหยอกอีกฝ่ายออกไป

เป็นแว้บหนึ่งที่เอกเห็นว่าคิ้วบนใบหน้านั้นถูกขมวดเป็นปมก่อนจะคลายออกในเวลาเดียวกัน

“ผมไม่ค่อยได้มองมันบ่อยๆ หรอก" กล้าตอบกลับมา "อย่างน้อยก็ในตอนที่ยังมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์แบบนี้" น้ำเสียงแผ่วที่เจือไปด้วยความเหงาถูกทอดออกมาให้ได้ยิน แววในตาสีน้ำเงินเข้มหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เอกรู้ตัวว่าเขาพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปแล้ว

กล้ากลายเป็นอ่อนไหวกับแทบทุกเรื่องที่เจอ นั่นเป็นเรื่องของอีกฝ่ายที่เอกได้เรียนรู้เพิ่มขึ้น

“ก็ออกมามองมันให้บ่อยขึ้น" เขาตอบกล้าไปแบบนั้น อีกฝ่ายหันมาสบตาราวกับแปลกใจในคำพูดที่เขาเอ่ยออกไป แต่ขณะเดียวกันแววน้ำเงินเข้มนั่นก็วูบไหวก่อนอีกฝ่ายจะเบนหนีไปอีกครั้งเหมือนที่อยู่บนรถ “มันสวยมากใช่ไหม มันน่ามองใช่ไหมล่ะ"

ถึงแม้ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย แต่การพยักหน้ากลับมาแค่นั้นก็ถือว่าเป็นคำตอบสำหรับคำถามแล้ว

“แล้วทำไมถึงพาตัวเองหนีมันไปล่ะ"

ราวกับโดนใครเอาไฟมาช็อต ดวงตาของกล้าเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นคนพูดออกมา

“ทำไมกล้าถึงหนีออกจากทุกๆ อย่างที่กล้าชอบล่ะ"

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสี่ปีก่อน ตอนที่กล้ายังคงเป็นกล้าที่ร่าเริง เฮฮา ตอนที่กล้ายังเป็นคนเดิม

กล้าก็เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไปคนนึง เขามีความสุขในทุกๆ วันที่ได้ตื่นมา กล้าเป็นคนสดใสและแทบจะไม่เคยเผยความเศร้าของตัวเองให้ใครได้เห็น เส้นผมและดวงตาสีน้ำเงินนั่นเปล่งประกายราวกับท้องฟ้ายามที่แสงอาทิตย์สาดส่อง มันสดใสและดูมีชีวิตชีวาดึงดูดให้ใครหลายคนหลงไหลและชอบมอง กล้าเป็นที่รักของเพื่อนๆ และเป็นที่พึ่งพาได้เสมอเพราะเขาไม่เคยที่จะปฏิเสธเวลาที่มีใครสักคนมาขอความช่วยเหลือ กล้ายื่นมือไปช่วยทุกคนด้วยความเต็มใจเสมอถ้าเขาสามารถช่วยได้

เขามีสิ่งที่ชอบทำเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเตะบอล เล่นบาส ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ แต่สิ่งที่กล้าชอบมากที่สุดคือการเล่นเกม เขาจะจริงจังกับการเล่นเกมมากไปสักหน่อยเพราะเขามีกิจกรรมยามว่างคือการแคสเกมแล้วอัพโหลดมันลงบนเว็บ หลังจากที่กล้าเป็นที่รู้จักในระดับนึง เขาก็ได้มารู้จักกับนักแคสเกมชื่อดังของเมืองไทย

เจ้าของแชนเนลยูทูปที่มีชื่อว่า 'ฮาร์ทรอคเกอร์' หรือชื่อเล่นจริงๆ ของเขาคือเอก

และหลังจากนั้นไม่นานกล้าก็ค้นพบว่าการเล่นเกมไม่ได้เป็นความชอบมากที่สุดของเขาอีกต่อไป

เขาชอบรุ่นพี่ที่ชื่อเอกคนนี้ ไม่รู้ว่าชอบในแง่ไหนเพราะกล้าบอกได้แค่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีเวลาที่ได้เล่นเกมด้วยกัน หรือแค่คุยกันผ่านสไกป์ก็ตาม

หลังจากนั้นไม่นานบรรดาเพื่อนๆ ของเขาก็รู้ว่าเขากับพี่เอกรู้จักกัน พี่เอกที่ดังและเป็นที่รู้จักในวงกว้างของสังคมวัยรุ่นไทยย่อมเป็นที่ต้องการรู้จักของคนพวกนี้อยู่แล้ว เพื่อนหลายคนมาคะยั้นคะยอให้พาตัวเองไปทำความรู้จักกับพี่เอกบ้าง ความลำบากใจที่กลัวว่าจะรบกวนพี่เอกมากเกินไปของกล้าถูกเพื่อนเพิกเฉยเมื่อหลายคนยังคงยืนกรานว่าให้กล้าพาตัวเองไปให้พี่เอกรู้จักต่อให้เพื่อนคนนั้นไม่ได้เป็นพวกเล่นเกมอะไรเลยก็ตาม

ก็แค่อยากรู้จักคนดัง

นั่นคือเหตุผลที่เพื่อนส่วนมากบอกกับเขา

กล้าแบกความลำบากใจและซ่อนมันไว้ใต้รอยยิ้มกับนิสัยที่ปฏิเสธคนไม่เป็น กล้าพาเพื่อนหลายๆ คนไปทำความรู้จักกับพี่เอกและมีอีกหลายคนที่กล้าปฏิเสธไปเพราะไม่สนิทใจด้วย แต่นั่นก็เป็นจำนวนมากพอที่จะทำให้กล้ารู้สึกแย่ได้เมื่อได้ยินว่าคนพวกนั้นเอาเขาไปพูดเสียๆ หายๆ ยังไงบ้าง

และรวมถึงฝั่งพี่เอกและเพื่อนนักแคสเกมรอบตัวของพี่เขาที่ตำหนิกล้ามาบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้

กล้ารู้สึกผิดที่ทำแบบนั้นลงไปให้พี่เอกรู้สึกไม่ดีกับเขา รวมถึงเขาไม่คิดว่าจะถูกเพื่อนพูดถึงว่าเห็นแก่ตัว กล้าเสียใจมากแต่ก็ยังคงแบกรับความรู้สึกพวกนั้นเอาไว้ เขาใช้ชีวิตอยู่กับรอยยิ้มเหมือนทุกๆ วันและในแต่ละวันก็ต้องมาได้ยินพวกเพื่อนพูดถึงเขาว่าเห็นแก่ตัวเพราะไม่อยากให้ทำความรู้จักกับนักแคสเกมชื่อดังของเมืองไทย และมีอีกหลายเรื่องที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาเพื่อทำให้กล้าดูกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไปจริงๆ เมื่อปากต่อปากที่พูดต่อกันไปถูกส่งต่อถึงแม้กระทั่งพวกรุ่นน้องที่เข้ามาใหม่แต่ละปี สุดท้ายหลายๆ คนในสังคมคณะก็ตัดสินว่ากล้าเป็นคนเห็นแก่ตัวไปจริงๆ โดยที่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ

หลายครั้งที่มีงานกลุ่มกล้าไม่เคยได้ร่วมกลุ่มกับเพื่อน เขาต้องทำการบ้านคนเดียวทั้งๆ ที่อาจารย์สั่งให้ทำเป็นกลุ่ม ไม่มีใครอยากจะจับกลุ่มกับเขาหรือถ้ามีการจับกลุ่มจริงๆ ส่วนมากคนพวกนั้นก็จะโยนงานมาให้เขาทำคนเดียวถึงแม้พวกนั้นจะเอาเขาไปนินทาว่าเขาเห็นแก่ตัวและไม่อยากทำงานกลุ่มก็ตาม

กล้าเริ่มเข็ดขยาดกับสังคมที่ตัวเองพบเจอ มีสิ่งเดียวที่เยียวยาให้เขาหายจากความรู้สึกพวกนี้ได้คือการเล่นเกม และพี่เอกก็ยังเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เขาแทบจะไม่สนใจพวกเพื่อนในคณะที่พูดถึงเขาแบบนั้น ทุกวันที่กล้าเล่นเกมกับพี่เอกหรือคอลสไกป์กันเขาจะเล่าเรื่องที่เขาได้พบเจอให้อีกฝ่ายฟังเสมอ

เสียงทุ้มที่แสดงถึงความห่วงใยนั่นปลอบปะโลมให้กล้าลืมความรู้สึกแย่ๆ ที่พบเจอในแต่ละวันจนหายไปแทบจะหมดสิ้น จากความชอบที่เคยมีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มพูนกลายเป็นความรู้สึกดีๆ ที่กล้าเริ่มมั่นใจแล้วว่ามันคืออะไร

จนวันนึงเขาตัดสินใจที่จะบอกกับอีกฝ่ายเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเอง แน่นอนว่าเขาคิดมาก เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่เกย์เพราะเขาไม่ได้มีสเป็คว่าต้องคบกับผู้ชายแต่เพราะอีกฝ่ายเป็นพี่เอกต่างหาก

แต่แน่นอนต่อให้เขารู้สึกยังไง สังคมก็ตัดสินพวกชายคบชายว่าเป็นเกย์อยู่แล้ว

ความคิดมากโจมตีกล้าในทุกๆ ค่ำคืนที่เขาคิดจะหลับตา ความคิดมากและห่วงในความรู้สึกอีกคนทำให้กล้าลืมคิดถึงความรู้สึกของตัวเองที่มีมากขึ้น ความทรมานจากความรู้สึกที่พูดออกไปไม่ได้ทำให้กล้าเริ่มรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นทุกๆ วัน ไหนจะเรื่องสังคมคณะที่พบเจอในแต่ละวันอีก

กล้าเริ่มตีตัวออกห่างจากเอก เขาเลือกที่จะคุยกับอีกฝ่ายน้อยลงเพราะได้แต่หวังว่าตัวเองจะไม่เผลอแสดงความรู้สึกที่มีออกไปจนมากเกิน ทั้งนี้เขายังต้องการรู้สึกกับอีกฝ่ายให้น้อยลงมากกว่านี้อีกด้วย

เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาที่อยู่ต่างคณะไม่สามารถยื่นมือมาช่วยเหลืออะไรได้เลย ในทุกๆ วันกล้าเริ่มแสดงด้านอ่อนแอของตัวเองออกมาให้เพื่อนเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ เขาร้องไห้ แววตาที่เคยสดใสกลับหมองลงจนหลายครั้งที่มาเจอกันเพื่อนของเขาได้แต่นึกตกใจกับการเปลี่ยนไป

ใบหน้าที่เคยอิ่มเอมและเต็มไปด้วยความสุขของกล้าแปรกลายเป็นใบหน้าที่ซูบผอม ความโทรมที่เห็นได้ชัด เบ้าตาที่ลึกโหลนั่น ทั้งหมดดูเหมือนไม่ใช่กล้าที่ใครหลายคนเคยรู้จัก จนสุดท้ายกล้าก็เลือกที่จะตัดขาดกับสังคมภายนอกด้วยการขังตัวเองไว้ในห้องทันทีที่เรียนจบ

ไม่มีใครได้คุยกับกล้าอีกเลย ยกเว้นกับเพื่อนคนนั้นที่ยังคงมีคุยกันบ้างตามประสาเพื่อนสนิท

และกับพี่เอก กล้าค่อยๆ ห่างออกมาจนทั้งคู่ไม่ได้ติดต่อกันอีก

“ทำไมกล้าถึงหนีออกจากทุกๆ อย่างที่กล้าชอบล่ะ"

คำถามถูกเอ่ยถามออกมาอย่างเลื่อนลอยให้ความรู้สึกตรงกันข้ามนัยน์ตาสีแดงอิฐนั่นที่จ้องมองเขาอย่างจริงจังและต้องการคำตอบ กล้าเลือกที่จะเบนหนีมันอีกรอบเหมือนที่เขาตัดสินใจจะไม่สนใจคำถามนั้น

แววตาสีน้ำเงินทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง มันเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจากความกดดันของสถานการณ์ภายในห้อง เอกยังคงจ้องมองมาที่เขา อย่างน้อยความรู้สึกของกล้าก็บอกแบบนั้นต่อให้เขาไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายก็ตาม

“พี่เป็นห่วงเรานะ"

คำพูดสั้นๆ ที่ถูกเจ้าของน้ำเสียงทุ้มแบบที่กล้าชอบเอ่ยออกมาจากปากอีกฝ่ายราวกับทำให้ความรู้สึกมากมายในอดีตถูกตีขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล กล้าเผลอจิกปลายเท้ากับพรมข้างใต้เมื่อความรู้สึกมากมายพุ่งปะทุอยู่ภายในทำให้ร่างกายของเขาปั่นป่วนอย่างน่าประหลาด

ไม่ใช่เรื่องดีเลย

กล้าคิดว่าสิ่งที่อีกคนพูดออกมาไม่ใช่เรื่องดีเลย

“จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ"

เพราะความรู้สึกดีๆ กับอีกฝ่ายยังคงมีอยู่เต็มล้นไปหมดและตัวเขาเองก็กลัวเหลือเกินว่าจะเผลอแสดงมันออกไปในเวลานี้ ริมฝีปากถูกเผลอขบกัดเอาไว้ราวกับว่ากล้าไม่ต้องการที่จะตอบบทสนทนาของอีกฝ่าย

เอกต้องการคำตอบ ไม่ใช่ความเงียบที่อีกฝ่ายกำลังยื่นมาให้ เขาขยับพาตัวเองเข้าไปใกล้อีกคนมากกว่าเดิม

กล้าตกใจ

แรงสะดุ้งทำให้เอกได้แต่นึกขำอีกคนอย่างเอ็นดูแต่ไม่กล้าที่แสดงอะไรกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธเขาอีกถ้าเขาเผลอส่งเสียงหัวเราะ

“ว่าไง ไม่มีอะไรจะพูดกับพี่จริงๆ น่ะเหรอ" เสียงทุ้มของเอกเอ่ยถามอีกครั้ง "ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น กล้าไม่อยากคุยกับพี่ ไม่อยากเล่าเรื่องที่กล้าเจอ ไม่อยากปรึกษาอะไรกับพี่เหมือนเมื่อก่อนแล้วเหรอ"

ภาพวันเวลาเก่าๆ ที่กล้าเคยมีความสุขในทุกๆ ครั้งที่เขาได้คุยกับรุ่นพี่คนนี้หวนขึ้นมาในความทรงจำ กล้าไม่ปฏิเสธว่าจริงๆ แล้วเขาคิดถึงช่วงเวลาพวกนั้น แต่เขายังคงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไปเพราะเขายังคงกลัวมากเหลือเกินว่าจะเผลอแสดงความรู้สึกของตัวเองให้อีกคนได้เห็น

กล้ากลัวอีกฝ่ายนึกรังเกียจถ้าได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง เขาไม่ต้องการจะเสียคนๆ นี้ไปจากชีวิตเพียงเพราะความรู้สึกที่มันไม่ควรเกิดขึ้น

ความเงียบที่กล้าหยิบยื่นให้เป็นคำตอบในทุกบทสนทนาที่เอกพยายามชวนอีกฝ่ายคุย ในเมื่อไร้คำตอบที่เอกต้องการ เขาจึงตั้งใจที่จะเป็นฝ่ายพูดทุกๆ อย่างให้อีกคนได้รับรู้แทน

“ถ้ากล้าจะไม่พูดอะไรเลย งั้นพี่จะเป็นฝ่ายพูดเอง"

น้ำเสียงที่เคยทุ้มนุ่มอย่างใจดีแปรเปลี่ยนเป็นความจริงจังจนกล้านึกฉงน กล้าหันกลับไปหาเอกด้วยความอยากรู้กับสิ่งที่อีกคนต้องการจะพูดและเมื่อหันไปเขาก็ได้พบกับแววตาของอีกฝ่ายที่มองมา มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่กล้ายากที่จะคาดเดา

“...”

เอกสูดลมหายใจเข้าไปลึกก่อนจะผ่อนมันออกมา เขาเงยหน้ามองกล้าที่กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ เขาไม่ได้หวังให้คนตรงหน้าจะมาเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปนี้แต่อย่างน้อยเขาก็อยากบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ความในใจที่เขาเก็บเอาไว้มาตลอด

“กล้า..” หัวใจของเอกสูบฉีดเลือดและเต้นเร็วขึ้นจนเขารู้สึกอึดอัดไปทั่วอก เขาเอื้อมฝ่ามือหนาของตัวเองไปกอบกุมฝ่ามือของอีกคนเอาไว้ก่อนลูบมันอย่างแผ่วเบา "พี่ไม่รู้ว่าในช่วงรอบปีหรือหลายปีที่ผ่านมากล้าไปเจอกับอะไรมาบ้าง..”

เอกหยุดพูดเพื่อผ่อนจังหวะหายใจก่อนจะก้มมองพรมที่พื้นเพื่อหลบสายตาจากกล้า เขาไม่อยากให้กล้าเห็นแววความอ่อนไหวที่กำลังสั่นระริกอยู่ภายในดวงตาเฉกเช่นเดียวกับโทนเสียงที่เขาไม่สามารถควบคุมได้

“แต่พี่คิดถึง.. พี่คิดถึงกล้า"

“...” เอกไม่รู้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังจะทำหน้ายังไงอยู่ และเขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเงยขึ้นไปมองใบหน้าอีกคนในเวลานี้เช่นกัน

“พี่คิดถึงกล้าคนเดิม คิดถึงช่วงเวลาที่เราเคยนอนคอลกันทุกคืน พี่คิดถึงตอนที่กล้าเล่าเรื่องประจำวันที่ได้ไปเจอมาให้พี่ฟัง ชอบทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกล้า.. กล้าทำให้พี่รู้สึกว่ามีความสุขท่ามกลางคนมากมายที่เข้าหาพี่เพื่อหวังผลประโยชน์ กล้าเป็นคนเดียวที่ทำให้พี่รู้สึก.. สนิทใจด้วย"

เอกเม้มปากแน่นหลังจากที่พูดจบ มันไม่ใช่ประโยคบอกรักแต่เขารู้สึกว่ามันไม่ได้ต่างอะไรสักเท่าไหร่ เอกยังคงสั่นและไม่กล้าเงยหน้าไปมองอีกฝ่าย ความมั่นใจที่ตัวเองเคยมีก่อนหน้าอันตรธานหายไปราวกับว่าเขาไม่เคยมีมันด้วยซ้ำ

อีกฝ่ายไม่มีคำพูดหรือการกระทำใดตอบกลับมา มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้นที่ยังดำเนินต่อไปและเอกก็ได้แต่สบถในใจเมื่อทบทวนคำพูดของตัวเองเมื่อครู่

ฟังยังไงมันก็ดูเหมือนประโยคบอกรัก! – เสียงในหัวของเอกท้วงบอกเขาอย่างนั้น ถึงแม้เขาไม่ได้หมายความประโยคนั้นไปตรงๆ แต่ลึกภายในใจของเอกก็ต้องการจะสื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความรู้สึก 'นั้น' ของเขาอยู่ดี

กล้านิ่งจนเอกใจเสียและเขาได้แต่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทำลงไปมันงี่เง่าขนาดไหน

“...”

“กล้าพูดอะไรสักอย่างสิ...” สุดท้ายเอกก็ทนไม่ไหวที่อีกฝ่ายยังคงหยิบยื่นความเงียบกลับมาแทนคำพูด คนอายุมากกว่าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความอดทนที่หมดลง

และสิ่งที่ปรากฎต่อหน้าได้แต่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำใสคลอหน่วยพร้อมจะร่วงลงมาได้ตลอดเวลานั่นทำให้แววสีน้ำเงินเป็นประกายระยิบระยับราวกับอัญมณี ใบหน้าขึ้นสีแดงจางๆ จากการกลั้นเสียงและสะอื้นนั่นบู้บี้ราวกับต้องการจะงอแง แต่ต่างจากรอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้าที่ทำให้รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังจะร้องไห้เพราะมีความสุข

“พ.. พี่เอก" กล้าเอ่ยออกมาเสียงสั่นก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างลวกๆ "ที่พี่พูดเมื่อกี้..”

“กล้า" เอกเอื้อมมือไปเกลี่ยน้ำตาของอีกฝ่ายที่ไหลลงเปรอะแก้ม

“พี่พูดจริงๆ เหรอ..” กล้าเอ่ยถามเสียงแผ่ว น้ำเสียงสั่นเครืออย่างไม่มั่นใจ

“จริงทุกคำเลยครับ" เมื่อเอกพูดจบเขาก็ต้องตกใจเมื่อรุ่นน้องตรงหน้าพุ่งตัวเข้ามากอดเขาอย่างกระทันหัน

“ผม.. ผมก็คิดถึงพี่" เสียงสะอื้นของกล้าดังอู้อี้ขึ้นใกล้หู เอกได้แต่เลื่อนมือไปลูบหัวคนในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา "ผมคิดถึงเสียงของพี่ ผมคิดถึงทุกช่วงเวลาที่เราเคยใช้ร่วมกัน.. ผมคิดถึงทุกๆ อย่างที่เป็นพี่"

“...” เสียงขาดห้วงไปเพราะอาการสะอื้นทำให้เอกนิ่งเงียบเพื่อรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ แรงกอดจากรุ่นน้องแน่นขึ้นราวกับต้องการสื่ออะไรบางอย่างออกมาแทนคำพูดที่เก็บเอาไว้ เอกพอจะรู้ได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายคิดจะพูดต่อมันคืออะไรแต่เขากำลังรอฟังว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะพูดมันออกมาหรือเปล่า

"ผม…" และเพราะกล้ารู้ตัวเองดีว่าความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายมันมากจนเก็บไว้ไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่างที่พยายามปิดตายมาตลอดถูกอีกฝ่ายกระตุ้นมันขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกมากมายกำลังทะลักออกมาจนเขารู้สึกอัดอั้นและต้องการระบายมันออกไปในตอนนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแสดงท่าทีรังเกียจหรืออะไรกล้าก็ไม่สนใจแล้วเพราะเขาเพียงต้องการบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปเท่านั้น

กล้าซุกหน้าลงกับไหล่อีกฝ่ายก่อนที่เขาตัดสินใจจะพูดคำนั้นออกไป "...ผมชอบ.. ผมชอบพี่เอก"

คำสารภาพดังอู้อี้พร้อมๆ กับเสียงสะอื้นที่ดังอยู่ใกล้ทำให้เอกได้แต่คลี่ยิ้มออกมาอย่างสุขใจเมื่อได้ยินคำนั้น เขาหันไปกดจูบเบาๆ ลงบนกลุ่มผมนิ่มของคนในอ้อมกอดแทนความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เขากำลังรู้สึกในตอนนี้

เมื่อกล้าไม่เห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายแบบที่ตัวเองคาดคิดไว้ก็ได้แต่ตื่นตระหนกด้วยความประหม่า ทั้งสัมผัสที่ได้รับเมื่อครู่ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวและสูบฉีดเลือดเร็วราวกับเพิ่งไปวิ่งมาราธอนมา

“พี่..” กล้าทำได้แค่เพียงบังคับเสียงสั่นๆ นั่นเรียกอีกคนออกไป

เอกละออกมาจากอ้อมกอด เขาจับใบหน้าของอีกคนไว้ก่อนส่งยิ้มให้จางๆ "พี่ก็ชอบกล้า.. ชอบเหมือนที่กล้าชอบพี่" เขาเอ่ยออกไปพร้อมๆ กับที่รอยยิ้มของรุ่นน้องตรงหน้าเริ่มยิ้มกว้างและกว้างขึ้น

กล้าคนเดิมของเขากำลังจะกลับมาแล้ว

เอกคิดในใจพลางส่งยิ้มกลับไป

ฝ่ามือหนากอบกุมฝ่ามือเล็กกว่าเอาไว้แน่น เอกตัดสินใจแล้วไม่ว่าจะต้องรอนานขนาดไหน เขาก็จะต้องรอและทำทุกอย่างให้กล้ากลับไปเป็นคนเดิมให้ได้ เขาจะคอยอยู่ข้างๆ กล้าแบบนี้ไปตลอดไม่ว่าจะมีปัญหาหรือเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

เพราะเขาอยากตื่นมาเจอกล้าพร้อมแววตาสีน้ำเงินที่สดใสราวกับท้องฟ้าในวันที่ปลอดโปร่งคู่นั้นอีกครั้ง และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้ท้องฟ้าแสนสวยนั่นหม่นหมองลงอีกเป็นครั้งที่สอง

เอกให้คำสัญญากับตัวเองถูกประทับตราที่ริมฝีปากของกล้า ก่อนที่เขาทั้งคู่จะผละออกจากกันพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นหัวใจ

- Every time I get up -

จบแล้วค่ะ ♡

bottom of page