top of page

(Overwatch fanfic) Ruin #Reaper76

Ruin

Pairing : Reaper76 (Reaper x Soldier 76)

Author : Alweirno | Genre/Rate : SF/PG-13

Theme song : Ruin (by Shawn Mendes)

* warning *

Slash & Not based on game info 89.99%

Part 1 : Ruin | Part 2 : House of memories | Part 3 : soon..

_____________________

ในคืนที่สมควรเงียบสงัด ณ เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันออกของประเทศเม็กซิโก เสียงกระสุนปืนที่ถูกสาดใส่กันไม่ยั้งดังไปทั่วบริเวณเมืองโดราโดเป็นเวลามากว่าค่อนคืนโดยฝีมือบุรุษสองคนที่กำลังถือปืนไล่ยิงกันอย่างหมายเอาชีวิตของอีกฝั่งให้ได้

“I’ve got you in my sight!” เสียงหอบหายใจของ 'แจ็ค มอร์ริสัน' หรือในนามที่เรารู้จักกันว่า 'พลทหาร 76' ประกาศกร้าวในขณะที่กำลังถือกระบอกปืนเล็งยิงเป้าหมายตรงหน้าด้วยความใจจดใจจ่อ

“หึ นายไม่มีทางยิงฉันโดนหรอกมอร์ริสัน" เสียงแหบต่ำภายใต้หน้ากากรูปกระโหลกของคนตรงหน้าทำให้คิ้วของแจ็คกระตุกอย่างเหลืออด อดีตพลทหารหน่วยรบพิเศษอย่างเขาที่ผันตัวมาเป็นศาลเตี้ยตอนนี้ไม่มีความอดทนมากพอที่จะมาทนเสียงเย้ยหยันแบบนั้นจากศัตรูคู่แค้นของตัวเอง แจ็ครัวกระสุนปืนออกไปหวังจะทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บแต่ท่าทีของอีกฝ่ายนั้นกลับไม่สะทกสะท้านอะไรกับการโจมตีของเขาเลยแม้แต่นิด

ร่างกายของรีปเปอร์ หรือ อดีตหน่วยรบพิเศษ 'แกเบรียล เรเยส' กลายเป็นกลุ่มควันสีดำลอยหลบกระสุนทั้งหมดที่แจ็ค มอร์ริสันยิงออกมา เขาเหยียดยิ้มออกมาภายใต้หน้ากากของตัวเองอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้จะเย้ยหยันให้กับความตลกร้ายที่ร่างกายของตัวเองกลายเป็นแบบนี้ หรือเย้ยหยันให้ความไร้ฝีมือของอีกฝ่ายที่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แกเบรียลคิดว่าน่าจะทั้งคู่-- เขาใช้ปืนลูกซองคู่ของตัวเองยิงสวนออกไปซึ่งอีกฝ่ายก็หลบการโจมตีได้ดีโดยที่ไม่ต้องกลายร่างเป็นกลุ่มควันแบบที่เขาทำ

“แล้วนายคิดว่าจะยิงฉันโดนเหรอเรเยส" น้ำเสียงปนหอบของมอร์ริสันตะโกนยอกย้อนตอบกลับไป เขานั่งหอบตัวโยนอยู่หลังผนังที่กำลังเป็นแหล่งกำบังให้กับเขา ตอนนี้ร่างกายของเขากำลังจะถึงลิมิตแล้วเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลานานเกินกว่าที่เขาคาดเดาไว้มาก

“น้ำเสียงฟังดูไม่ได้เลยนะมอร์ริสัน" และดูเหมือนว่าเรเยสจะรับรู้ได้ถึงเรื่องนั้น ภายใต้หน้ากากรูปกะโหลกเขาส่งเสียงหัวเราะหึในลำคออย่างผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า "ฉันว่าถึงเวลาที่จะจบเรื่องบาดหมางระหว่างเราได้แล้วล่ะ" เขากลายร่างตัวเองเป็นกลุ่มควันสีดำอีกครั้งแล้วลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย

“รีปเปอร์..” เสียงแผ่วของพลทหาร 76 ทำให้อีกฝ่ายชะงักแต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น

“ลาขาด" สิ้นคำสุดท้ายของรีปเปอร์ กระสุนที่ถูกยิงออกจากปากปืนลูกซองคู่กายทำให้โลกทั้งใบของพลทหาร 76 ดับลงในทันที

“คิดยังไงพาหมอนี่กลับมาด้วย ?” คำเอ่ยทักจากปากผู้หญิงผิวม่วง เจ้าของโค้ดเนมวิโดว์เมคเกอร์ เธอยืนพิงกำแพงกอดอกมองคนรู้จักที่กลับมาที่ฐานพร้อมทั้งแบกร่างของใครอีกคนกลับมาด้วย

“มันเรื่องของฉัน แล้วเธอล่ะมาทำอะไรที่นี่" เรเยสตอบโดยไม่ได้หันไปมองคู่สนทนา เขาจัดแจงวางร่างที่แบกกลับมานอนลงบนโซฟาใกล้ตัวอย่างระมัดระวังโดยไม่รู้ว่าการกระทำของเขาถูกจ้องมองไม่วางสายตาโดยมือซุ่มยิงอย่างวิโดว์เมคเกอร์

“ก็ไม่ได้อยากจะมานักหรอก" เสียงของวิโดว์ผ่อนลง "คนในองค์กรแค่อยากให้ฉันมาดูว่านายยังอยู่ดีมั้ยก็แค่นั้น"

ความรู้สึกขบขันปนเย้ยหยันที่แน่นอยู่เต็มอกทำให้เรเยสหลุดหัวเราะออกมา เขาหันไปจ้องคู่สนทนาด้วยหน้าตาไม่เป็นมิตรแบบที่คนรู้จักกันควรทำ “จ้างฉันไปตายแล้วยังจะมีหน้าส่งคนมาดูอีกเหรอ องค์กรเธอนี่ใจดีจริงนะ" เขาแค่นหัวเราะ "ฉันไม่ไปฆ่าล้างองค์กรของเธอก็นับว่าดีขนาดไหนแล้วแอมิลี่.. ฝากเอาไปบอกเจ้าพวกนั้นด้วยแล้วกัน"

วิโดว์ขบริมฝีปากล่างด้วยความไม่พอใจเมื่อถูกอีกคนเรียกด้วยชื่อจริง เธอกำลังที่จะลืมชื่อนี้ไปได้แล้วชื่อที่คอยตอกย้ำเสมอว่าอดีตเธอเคยทำอะไรลงไป ชื่อที่เธอไม่เคยพอใจสักนิดเวลามีคนเรียก "อย่าเรียกฉันด้วยชื่อนั้นอีก มันไม่ใช่ชื่อของฉันอีกต่อไปแล้วนายก็รู้" เธอตอบรีปเปอร์ในขณะที่เตรียมจะหยิบปืนสั้นของตัวเองขึ้นมา ปกติตัวเธอเองไม่ค่อยมีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง หรืออารมณ์ทั่วๆ ไปเหมือนกับที่คนอื่นมีเพราะทางองค์กรทาลอน องค์กรที่เธอทำงานให้ได้โปรแกรมมาให้เธอกลายเป็นนักฆ่าเลือดเย็น แต่ถ้ามีใครมาทำให้เธอไม่พอใจเธอก็พร้อมที่จะจัดการคนๆ นั้นในทันที

“อย่ามาหาเรื่องทะเลาะตอนนี้ ไสหัวของเธอออกไปจากฐานลับของฉันได้แล้ว" เรเยสที่เห็นท่าทีของวิโดว์ก็หยิบปืนลูกซองที่อยู่ข้างตัวเล็งไปทางคู่สนทนาพลางสะบัดมันไปทางประตูฐาน-- "ไม่มีความจำเป็นก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาบ่อยๆ หรอก เธอก็คงไม่ได้อยากจะญาติดีอะไรกับฉันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไปซะ" เรเยสพูดพลางจ้องหน้าอีกฝ่าย สายตาที่พร้อมจะฆ่าคนจริงๆ นั่นทำให้วิโดว์ยอมลดมือลงจากปืนก่อนเดินออกไปจากฐานลับของเขาด้วยความไม่พอใจ

เรเยสถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าเรื่องน่าเหนื่อยใจหมดไปหนึ่งเรื่อง ถ้าจะเหลือเรื่องให้เหนื่อยใจอีกก็คงจะเป็นเรื่องของคนตรงหน้าที่กำลังนอนนิ่งอยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่นในฐานลับของเขาตอนนี้ เรเยสจ้องมองร่างที่นอนนิ่งของพลทหาร 76 ซึ่งตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพาคนๆ นี้กลับมาที่ฐานของตัวเองด้วยซ้ำ

จะบอกว่าเป็นความตั้งใจได้มั้ยนะ ในเมื่อเขาตั้งใจเปลี่ยนกระสุนนัดที่ยิงคนตรงหน้าให้เป็นกระสุนยาสลบแทนที่จะเป็นกระสุนเพื่อปลิดชีวิตอีกฝ่ายตามที่ตั้งใจมานานแสนนานนับตั้งแต่ที่เรากลายเป็นศัตรูกัน..

- Ruin -

“อ.. อึก" เสียงครางแผ่วเบาของร่างบนเตียงดึงความสนใจเรเยสที่กำลังนั่งพิงเก้าอี้อ่านหนังสือพิมพ์ให้หันไปมอง เขารีบพับหนังสือพิมพ์วางไว้บนโต๊ะข้างๆ แล้วลุกมาดูอาการของอีกคนที่นอนหลับยาวมาเกือบหนึ่งอาทิตย์

เปลือกตาของมอร์ริสันค่อยๆ ลืมขึ้นทีละนิด เขากะพริบตาอยู่หลายครั้งเพื่อปรับให้ม่านตาตัวเองรับแสงสว่างหลังจากที่หลับไปเป็นเวลานาน ความทรงจำสุดท้ายปรากฎขึ้นมาในหัวสมองคือภาพที่รีปเปอร์จ่อปืนลูกซองมาที่เขา.. นี่เขาตายแล้วเหรอ-- นั่นคือความคิดของมอร์ริสันในขณะที่เขาพยายามใช้สายตาของตัวเองต่อสู้กับแสงสว่างที่แยงตา

รีปเปอร์ที่เห็นอีกคนกำลังจะลืมตาก็รีบหันไปหยิบหน้ากากกะโหลกมาสวมทับเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้อีกคนเห็นหน้าตาของตัวเอง เพื่ออะไรตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะยังไงเขากับแจ็คก็เคยรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว ค่าหน้าค่าตาก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงสวมหน้ากากกะโหลกที่เป็นเครื่องหมายการค้าของตัวเองยืนมองอีกคนอยู่ข้างๆ-- กว่าที่มอร์ริสันจะรับรู้การมีตัวตนของเขาก็ปาไปเกือบห้านาที

“ไง" คำสั้นๆ และดูโง่ในความคิดของแกเบรียลถูกเขาใช้เอ่ยทักอีกฝ่ายที่เพิ่งฟื้นจากการพักตัว

ฝ่ายพลทหาร 76 เมื่อเห็นว่าอีกคนคือใครก็ได้แต่นิ่งเงียบไปใช้ความคิดสักพักหนึ่ง เขาไม่คิดว่าจะตื่นมาเจออะไรที่แจ็คพ็อตแตกแบบนี้.. รีปเปอร์งั้นเหรอ ตอนนี้อาจจะฝันอยู่ หรือไม่ก็ตัวเขาอาจจะตายไปแล้วจริงๆ

"นายเป็นยมบาลหรืออาฆาตกันจนต้องตามฉันมายันตอนตายเลยเหรอ" ประโยคคำถามที่ฟังดูเพ้อเจ้อและคาดไม่ถึงว่าอดีตหัวหน้าหน่วยรบพิเศษอย่าง แจ็ค มอร์ริสันจะเป็นคนพูดทำให้เรเยสเกือบหลุดขำด้วยความตลก

“เพ้อเจ้ออะไรของนายน่ะแจ็ค"

“งั้นก็แปลว่าฉันยังไม่ตายสินะ" มอร์ริสันหรือพลทหาร 76 พลิกฝ่ามือตัวเองดูสองสามทีก่อนเลื่อนมือไปจับที่หัว "จำได้ว่านายเป่าหัวฉันด้วยปืนลูกซองของนายนี่"

“แล้วนายคิดว่าตัวเองตายหรือยังล่ะ"

“ไม่รู้สิ.. นายตรงหน้าฉันตอนนี้ดูจริงเกินไปที่จะเป็นความฝันนี่" ประโยคที่มอร์ริสันตอบกลับอีกคนทำให้อีกฝ่ายเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว

ดีนะที่มีหน้ากากปิดหน้าอยู่น่ะ-- เรเยสคิด

“นายยังไม่ตาย" เขาบอกอีกคนที่ยังคงมีท่าทีสงสัย

“แล้วทำไมนายถึงไม่ฆ่าฉันล่ะแกเบรียล ?” ทันทีที่เขาพูดจบคำถามของอีกฝ่ายก็ถูกส่งกลับมาในทันทีพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ เรเยสลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามคนตรงหน้ายังไง เขาเองก็ยังไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเท่าไหร่ว่าทำไมถึงไม่ยอมฆ่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูคู่แค้นของตัวเองไปซะทั้งๆ ที่มีโอกาสแล้ว

บรรยากาศที่ดูเหมือนจะยังดีอยู่เมื่อครู่กลับรู้สึกบีบให้เรเยสรู้สึกอึดอัดขึ้นมาในพริบตาเมื่อสายตาอีกฝ่ายยังคงคาดคั้นจะเอาคำตอบ

“...”

“ต้องการอะไรจากฉันอีกงั้นเหรอ" น้ำเสียงของมอร์ริสันแผ่วเบาลงเจือด้วยความเจ็บปวดที่มองไม่เห็น เขาต้องการคำตอบหลายๆ เรื่องจากคนตรงหน้า ไม่ว่าจะเรื่องตอนนี้หรือบางเรื่องในอดีต ถึงแม้จะรู้นิสัยเพื่อนเก่าคนนี้ดีว่าเป็นคนไม่ยอมพูดอะไรก็ตามที่ไม่ต้องการให้คนอื่นได้รู้ แต่อย่างน้อยบางเรื่อง.. แค่บางเรื่องก็ยังดี ให้เขาได้รู้อะไรที่เกี่ยวกับคนตรงหน้านี้บ้าง

“ฉันก็แค่ต้องการ..” นาย-- คำพูดที่ถูกกลืนไปยังไม่ทันจบประโยค เรเยสเลือกที่จะเงียบไปสักพักก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดโกหกอีกคนเหมือนทุกครั้งที่เคยผ่านมาในอดีต "ก็แค่ต้องการข้อมูลของหน่วย Overwatch จากนายเท่านั้น" คำโกหกคำโตถูกปล่อยออกจากปากของเขา ภายใต้หน้ากากกะโหลกและผ้าคลุมสีดำที่ช่วยปกปิดสีหน้าอ่อนแอนั่น แกเบรียลนึกขอบคุณสองสิ่งนี้ในใจ

“งั้นเหรอ"

“...” ไม่.. ไม่ใช่-- เรเยสตะโกนแย้งอยู่ในใจของตัวเองแต่ไม่สามารถพูดออกไปให้อีกคนได้ยิน

“สำหรับในสายตาของนาย ฉันมีค่าแค่เพื่อผลประโยชน์ของนายสินะ" มอร์ริสันเอ่ยเสียงเศร้า สีหน้าของเขาอ่อนลงและแสดงถึงความอ่อนแอไม่ต่างจากสีหน้าของคนที่มีหน้ากากปิดบังเอาไว้

“...” ไม่จริงเลยสักนิดแจ็ค.. สำหรับฉันนายไม่ได้มีค่าแค่นั้น

“ถ้านายไม่มีอะไรแล้วฉันขอพักอีกสักหน่อยก็แล้วกัน ถึงเวลาที่ต้องการข้อมูลก็เชิญทรมานฉันให้ตายได้เลย เพราะฉันไม่มีวันคายความลับของเพื่อนพ้องให้คนนอกอย่างนายเด็ดขาด!” พลทหาร 76 ตะโกนใส่อีกฝ่าย ใบหน้าที่เคยอ่อนแอนั่นกลับแข็งกร้าวขึ้นมาในทันที เขาจ้องมองที่รีปเปอร์ราวกับต้องการที่จะฆ่าคนๆ นี้ซะตอนนี้ถ้าไม่ติดที่ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินที่จะลงมือ

“หึ พักไปตามสบายเถอะ" รีปเปอร์เค้นเสียงทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนที่เขาจะกลายร่างตัวเองเป็นกลุ่มควันสีดำและลอยตัวออกมานอกห้องพัก จิตใจของเขาว้าวุ่นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ทั้งหงุดหงิดและเสียใจไปพร้อมๆ กัน เขาเกลียดตัวเองที่เปราะบางแบบนี้ เรเยสที่ลอยมาหยุดที่ส่วนกลางของฐานลับอารมณ์ของเขาคุกรุ่นจากความหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจตัวเองทำให้เขาเลือกที่จะระบายอารมณ์กับหน้ากากโง่เง่าที่ตัวเองเพิ่งนึกขอบคุณมันเมื่อนาทีก่อน

สีหน้าเจ็บปวดของ แกเบรียล เรเยส ที่ แจ็ค มอร์ริสันไม่มีวันได้เห็น ใบหน้าที่แสดงถึงความอ่อนแอและเจ็บปวดของจิตใจนั่นเผยให้เห็นหลังจากชุดคลุมและหน้ากากถูกถอดทิ้งไป ทำให้ใครอีกคนที่ยืนมองอยู่ในมุมมืดของห้องถึงกับอดกล่าวเยาะเย้ยเขาไม่ได้

“หึ ใครกันนะที่ทำให้นักฆ่าอิสระอย่างรีปเปอร์แสดงสีหน้าเจ็บเจียนตายจนน่าสมเพชออกมาได้ถึงขนาดนี้" วิโดว์พูดพลางก้าวเท้าอืดอาดออกมาจากมุมมืด "อย่าบอกนะว่าไอ้คนที่นายแบกมาจากเมืองโดราโดวันนั้นน่ะ" เธอพูดพลางทำท่าทางนึกออกได้โอเวอร์จนเรเยสนึกหมั่นไส้อยากหยิบลูกซองยิงให้เธอไปให้พ้น

“มันจะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่เกี่ยวกับเธอ" เขาตอบปัดอย่างไม่นึกจะสนใจอีกฝ่ายไปมากกว่านี้

“ฉันไม่เคยเห็นเธอในมุมแบบนี้เลยนะรีปเปอร์ ตกหลุมรักหมอนั่นหรือไง ทำหน้าเหมือนคนเพิ่งโดนหักอกมาอย่างนั้นหละ"

เรเยสเงยหน้ามองวิโดว์อย่างนึกสงสัย "ตกหลุมรัก ?” เขาแค่นหัวเราะในลำคอเบาๆ "อย่างฉันกับหมอนั่นมันเลยจุดที่เรียกว่าตกหลุมรักมาแล้วล่ะมั้ง" เรเยสนึกหัวเราะหยันตัวเอง

“แต่ที่บอกว่าโดนหักอกนี่ก็ไม่แน่นะ" เขาทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะไม่ตอบอะไรหญิงสาวตรงหน้าอีก วิโดว์ที่ถูกปาระเบิดคำตอบใส่ไว้แบบนั้นก็แสดงถึงความอยากรู้ออกมาอย่างปิดไม่มิดจนต้องโดนเรเยสไล่ออกจากฐานไปเพราะความรำคาญอีกเหมือนทุกครั้ง

คล้อยหลังจากที่ออกมาจากฐานลับของรีปเปอร์-- สไนเปอร์สาววิโดว์เมคเกอร์ติดต่อไปยังองค์กรของตนเองเพื่อบอกข่าวที่ได้จากการไปล้วงข้อมูลมาจากเป้าหมาย

นับตั้งแต่วันที่มอร์ริสันฟื้นขึ้นมานี่ก็ปาไปห้าวันแล้วที่เขาใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในฐานลับของศัตรู

“นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่แกเบรียล"

“หืม ?” เรเยสที่ใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับข่าวในหนังสือพิมพ์ส่งเสียงในลำคอพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามอีกฝ่ายว่าเมื่อกี้พูดว่าอะไรนะเมื่อเขาไม่ได้ฟังคำถามของอีกฝ่าย

มอร์ริสันที่เห็นแบบนั้นก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เขาฟื้นขึ้นมาหลังจากที่หลับไปนานเกือบอาทิตย์ตามที่หมอนี่บอกเขา แต่ก็ต้องมานั่งแกร่วอยู่ในฐานลับกับเพื่อนเก่าที่อยู่ในชุดคลุมสีดำกับหน้ากากกะโหลกสีขาวที่วันๆ เอาแต่ลอยไปลอยมาอยู่ในฐานลับนี่ วันไหนที่อีกคนจะไปข้างนอกก็ไม่บอกเขาปล่อยให้เขาตะโกนหาทั้งวัน นึกอยากจะแว้บไปแว้บมาก็ทำ แถมยังไม่บอกจุดประสงค์จริงๆ ของตัวเองที่จับเขามาให้ฟังอีก

“แกเบรียล.. นี่นายคิดว่าชีวิตฉันว่างถึงขนาดที่จะมาขลุกอยู่ในฐานลับกับนายทุกวันเลยหรือไง" เขาเอ่ยถามเรเยสที่ตอนนี้มีทีท่าจะกลับไปสนใจหนังสือพิมพ์อีกแล้ว "ตอบคำถามฉันก่อนสิ" เขาดึงหนังสือพิมพ์ในมืออีกฝ่ายก่อนจะพับมันวางไว้บนโต๊ะ

“ก็ไม่เห็นว่านายจะมีอะไรต้องไปทำนี่" เรเยสตอบเขาเพียงแค่นั้นก่อนจะเอื้อมไปหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเดิมที่เขาเพิ่งพับไปวางไว้

“ฉันมีงานต้องทำนะแกเบรียล"

“ถ้างานที่รับจ็อบเป็นศาลเตี้ยฉันไปทำแทนมาหมดแล้ว ที่หายๆ ไปทุกคืนนี่ไง" อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“นี่!”

“อะไรอีกล่ะแจ็ค"

“ฉันต้องกลับไปหาพรรคพวกที่หน่วยโอเวอร์วอช นายก็รู้ใช่มั้ยแกเบรียล"

… หมอนี่เลิกพูดเรื่องนี้สักวันจะได้มั้ยเนี่ย เก่งจริงๆ เรื่องทำลายบรรยากาศดีๆ น่ะ – เรเยสคิดในใจอย่างหงุดหงิด

“ฉันรู้"

“นายก็ปล่อยฉันกลับไปสิ ฉันมีเด็กๆ ที่ต้องไปดูแล มีงานที่ต้องกลับไปรับผิดชอบอยู่นะ นายจะมาขังฉันไว้ที่นี่ทำไมกัน ข้อมูลอะไรนั่นที่นายบอกต้องการก็ไม่เห็นจะมีสักคำถาม นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่แกเบรียล" คำถามสไตล์มอร์ริสัน—เขาเรียกมันว่าแบบนั้นเวลาที่หมอนี่ชอบถามอะไรยาวๆ เรเยสกลอกตากับคำถามที่ตัวเองถูกถาม เขาเลือกที่จะนิ่งเงียบเป็นคำตอบเหมือนเช่นทุกครั้งที่โดนถามด้วยคำถามทำนองนี้

“ฉันเกลียดนายจริงๆ แกเบรียล-- ปามาทำไม!” มอร์ริสันหันไปแหวคนข้างๆ ที่อยู่ดีๆ ก็ปาหนังสือพิมพ์ลงมาที่ตักของเขา

“อ่านซะแล้วหยุดโวยวายซะที รำคาญ" เขาบอกอีกคนด้วยเสียงแหบต่ำเป็นเอกลักษณ์ที่ตอนนี้ติดรำคาญเล็กน้อยทำให้มอร์ริสันเลือกที่จะสงบปากสงบคำแล้วอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ตามที่อีกคนบอก

ในระหว่างนั้นเรเยสก็เลือกที่จะลุกไปยืนตรงอื่น เขาเดินไปที่เคาท์เตอร์บาร์ข้างหลังที่อยู่ไม่ไกลมากจากโซฟาที่นั่งเมื่อครู่ เขาถอดหน้ากากและผ้าคลุมของตัวเองออกเพราะอึดอัดที่จะต้องใส่มันตลอดเวลาที่เขาอยู่กับมอร์ริสันซึ่งปกติเขาจะใส่แค่ช่วงที่ออกไปทำภารกิจเท่านั้น

“เห้อ ได้หายใจเต็มปอดในรอบสัปดาห์เลยมั้งเนี่ย" เรเยสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ไม่นานที่ได้พักหายใจหายคอ คนที่เพิ่งนึกถึงเมื่อกี้ก็วิ่งมาฟาดหนังสือพิมพ์ลงกับเคาท์เตอร์บาร์ต่อหน้าเขา

“นี่มันหมายความว่าไง! SD76 หายสาบสูญ คาดเสียชีวิตระหว่างไปปฏิบัติภารกิจ!”

“ถามฉันแล้วฉันจะรู้เรื่องด้วยไหมล่ะ" เรเยสกลอกตาตัวเองแทบจะเป็นเลขแปดใส่คนตรงหน้า เขาไม่ได้รู้เรื่องที่ข่าวนี้จะถูกนำไปตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์สักนิด ถึงแม้เขาจะมีส่วนในการหายตัวไปของพลทหาร 76 ที่ว่าก็เถอะ

“นายลักพาตัวฉันมาเพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าฉันเสียชีวิตไปแล้วใช่มั้ย นายต้องการให้หน่วยโอเวอร์วอชล่มอีกรอบใช่มั้ยเรเยส ตอบมา! นายก็รู้ว่าถ้าพวกวายร้ายหรือประชาชนเห็นข่าวนี้มันจะส่งผลกระทบถึงความมั่นคงและความเชื่อใจของประชาชนที่มีต่อพวกเรามากขนาดไหน!”

“เฮ้ยๆ ใจเย็นสิมอร์ริสัน" เขารู้ว่าเวลาที่หมอนี่เรียกนามสกุลแทนที่จะเป็นชื่อเขาแสดงว่าคนตรงหน้านี่เริ่มจะหมดความอดทนกับเขาทีละนิด

“ให้ฉันติดต่อกลับไปที่หน่วยโอเวอร์วอชเดี๋ยวนี้!”

“ใจเย็นสิ เฮ้! ฉันบอกให้นายใจเย็นๆ ไง!" เขาตะโกนตอบกลับอีกฝ่ายบ้าง "ตั้งสติหน่อยมอร์ริสัน ถึงฉันจะขังนายไว้ที่นี่แต่เรื่องข่าวพวกนี้ฉันไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะ ฉันไม่ไ่ด้ต้องการให้ใครคิดว่านายตายไปเป็นรอบที่สองหรอกนะ ถึงทีแรกตั้งใจจะฆ่านายจริงๆ ก็เหอะ"

“...” ความเงียบของมอร์ริสันน่ารำคาญ-- เรเยสรู้เรื่องนั้นดี หมอนี่ไม่เหมาะกับความเงียบหรืออะไรแนวๆ นั้นหรอก

“นายมันโง่มอร์ริสัน" เขาสบถแค่นั้นก่อนจะโยนเครื่องมือสื่อสารขนาดพอดีมือส่งให้อีกคน “ติดต่อหน่วยของนายไปสิ แล้วเลิกโวยวายด้วย มันน่ารำคาญ!” เขาขึ้นเสียงใส่อีกคนแล้วหายตัวหนีมา

เขาพากลุ่มควันที่ห่อหุ้มร่างของตัวเองมาอยู่ในห้องนอนของตัวเอง แววตาเจ็บปวดที่คิดว่าตัวเองโดนหลอกของมอร์ริสันยังสั่นแววระริกชัดเจนในความทรงจำ.. แน่ล่ะสิ ในเมื่อเขาเพิ่งเห็นมันเมื่อครู่นี้เอง เขาเหยียดยิ้มน่าสมเพชให้กับตัวเอง .. นายไม่ได้โง่หรอกมอร์ริสัน เพราะเป็นเขาที่โง่เองที่ตัดสินใจเอาข่าวแบบนั้นไปให้อีกฝ่ายดู ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอีกคนจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมายังไงหลังจากที่อ่านข่าวตัวเองจบ

“หึ.. คนที่โง่คือนายมากกว่าสินะ แกเบรียล เรเยส" เขาแค่นหัวเราะใส่ตัวเองอย่างนึกสมเพชหลังจากที่เอาเจ้าเครื่องมือสื่อสารไปให้อีกคน "ไปสิ ให้นายหนีไปจากฉันอีก คราวนี้ฉันคงไม่ตามไปทำลายความสุขของนายที่ไหนอีกแล้ว" เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความเจ็บปวด

ฉันสมควรปล่อยมือจากนายจริงๆ สักทีใช่มั้ยแจ็ค

ฉันสมควรลืมเรื่องราวของเราสองคนในอดีตให้หมดใช่มั้ยแจ็ค

.. จริงๆ แกเบรียล เรเยส ก็ยังเป็นไอ้โง่ที่ใช้ชื่อรีปเปอร์มาบังหน้าเพื่อปิดบังความอ่อนแอและเปราะบางในจิตใจของตัวเองก็เท่านั้นแหละ

- Ruin -

ลาก่อน แจ็ค มอร์ริสัน

“ฉันนัดกับพรรคพวกไว้ที่นี่แหละ นายก็รีบไปเถอะ..” เสียงของมอร์ริสันแผ่วเบา

หลังจากที่เขาได้ติดต่อไปที่ศูนย์บัญชาการ วินส์ตันก็บอกว่าจะส่งยานพาหนะมารับเขาภายในเย็นวันนี้ตามสถานที่ที่ได้นัดแนะกันไว้

เรเยสไม่มีคำเอ่ยลาที่จะเอ่ยออกไปให้กับอีกคน เขากำลังสับสนว่าตัวเองสมควรทำยังไง เขาไม่อยากสูญเสียคนตรงหน้าไปอีกแต่ในเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างมันเลวร้ายลงมามากและนานเกินกว่าที่จะแก้ไขอะไรได้

“นาย.. ต้องการที่จะกลับไปจริงๆ น่ะเหรอแจ็ค” ประโยคเลื่อนลอยที่ดังอู้อี้ภายใต้หน้ากากกะโหลกสีขาวนั่น เขาทำได้แค่เอ่ยมันออกมาให้เบาที่สุดในขณะที่ยืนมองอีกคน

สายตาเศร้าสร้อย อาวรณ์ เลื่อนลอยของชายในชุดผ้าคลุมดำถูกปิดบังไว้ใต้หน้ากากกะโหลกสีขาว ไม่ต่างจากอีกคนที่ใบหน้าและความรู้สึกทุกอย่างถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากของตัวเองเช่นกัน หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา แจ็ค มอร์ริสันตอบตัวเองได้ว่าเขามีความสุขแบบที่ไม่มีมานาน เขารู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ถึงแม้จะอยู่ร่วมกับศัตรูในฐานลับของอีกฝ่ายก็ตาม

เขาปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเวลาเกือบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา การอยู่กับเรเยสหวนให้ตัวเขาเองนึกถึงช่วงเวลาในอดีตสมัยที่ทั้งคู่ยังเป็นคู่หู เพื่อนซี้ และรวมถึงฐานะคนรัก เขารู้ดีว่าเรเยสก็รู้สึกแบบเดียวกันตลอดเวลาช่วงเวลาสองสัปดาห์นี้เพียงแต่อีกฝ่ายไม่เถรตรงมากพอที่จะแสดงออกมาให้เขาได้เห็น รวมถึงตอนนี้ เขาเองก็รู้ดีว่าในจิตใจของอีกฝ่ายก็คงไม่ต่างจากตนเองมาก.. อาลัยอาวรณ์ และก็คงไม่อยากแยกจากกันอีก

เรากลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ เรเยส ? – มอร์ริสันตั้งคำถามภายในจิตใจตัวเอง

“ถ้านายไม่รีบไปพวกนั้นต้องมาจับนายแน่ๆ โดยเฉพาะวินส์ตัน รายนั้นได้ฆ่านายแน่" พลทหาร 76 เอ่ยบอกอีกคนที่ยืนอยู่ข้างตัวเอง

“อื้ม รู้แล้ว" รีปเปอร์เค้นเสียงตอบอีกคนเพียงเท่านั้น ลำคอของตัวเองแห้งผากเกินกว่าที่จะตอบอีกฝ่ายได้มากกว่านี้ "ฉันขอสิ่งหนึ่งก่อนที่เราสองคนจะจากกันได้มั้ยแจ็ค"

มันเป็นสิ่งที่ตัวเขาต้องการเป็นครั้งสุดท้าย ในฐานะ แกเบรียล เรเยส ไม่ใช่รีปเปอร์ ศัตรูของพลทหาร 76

“อะไรเหรอ"

“จูบลา..” เรเยสตอบทันควัน "มันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันขออะไรแบบนี้จากนาย หลังจากวันนี้เราก็จะกลายเป็นศัตรูกันเหมือนเดิมและฉันจะลืมเรื่องทั้งหมดระหว่างเราไปซะ" เขาพูดหนักแน่น

“...” มอร์ริสันเผยยิ้มกว้างที่ปิดไม่มิดภายใต้หน้ากากของตัวเอง เขานึกขอบคุณมันที่ปิดรอยแห่งความดีใจของตัวเองไว้มิดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าเขามีความสุขกับคำๆ นั้นมากแค่ไหน

“ได้มั้ยแจ็ค..” เรเยสถามย้ำอีกครั้ง แล้วหัวใจของเขาก็เต้นโครมครามราวกับวัยรุ่นมีรักแรกเมื่อมอร์ริสันพยักหน้าตัวเองแทนคำตอบจากปาก

แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ขยับเข้าไปใกล้กันหรือทำอะไรที่มากกว่านี้ เสียงใสของหญิงสาวปริศนาจากบนดาดฟ้าตึกกลับดึงเอาความสนใจของทั้งคู่ให้หันไปมองแทน

“อ้าว.. ว่าไงละเนี่ย สงสัยมาขัดจังหวะใช่มั้ย ขอโทษทีนะ~” รอยยิ้มของวิโดว์เมคเกอร์แสยะเหยียดออกที่มุมปากอย่างจงใจ "น่าสนใจเหมือนกันนะ ศัตรูคู่แค้นแต่ในอดีตกลับเป็นถึงคนรักกันมาก่อน หึ.. เวลาไล่ฆ่ากันนี่รู้สึกยังไงเหรอ" เธอพูดพลางเล็งปลายกระบอกปืนไรเฟิลมาทางทั้งคู่

“วิโดว์!”

“ว่าไงรีปเปอร์เพื่อนรัก" เธอพูดพลางแสยะยิ้มในขณะที่ห้อยหัวลงมาหาคนทั้งคู่เรื่อยๆ

“เธอมัน..” เรเยสได้แต่กำมือแน่น "เล่นตลกอะไรก็ตามอย่าเอาเขาเข้ามายุ่ง ฉันเคยบอกเธอไปแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งย่ามกับเรื่องส่วนตัวของฉัน!” เสียงแหบต่ำตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

“คงจะไม่ได้หรอกนะรีปเปอร์.. เพราะภารกิจของฉันในครั้งนี้คือจับตัวหมอนั่นไปยังไงล่ะ"

“ว่าไงนะ!” ไม่ทันที่เรเยสหรือมอร์ริสันจะได้ตั้งตัว หน่วยทหารขององค์กรทาลอนนับร้อยชีวิตก็กรูเข้ามาล้อมพวกเขาอย่างรวดเร็ว..

เจ้าพวกนี้.. มันซ่อนอยู่ตามมุมตึกอย่างงั้นเหรอ – เรเยสคิดในใจ เขาแทบจะหมดความอดทนกับเรื่องตรงหน้าและพร้อมหยิบปืนลูกซองข้างตัวสาดกระสุนใส่ศัตรูพวกนี้ซะให้หมด ติดอยู่ที่เขาทำแบบนั้นไม่ได้น่ะสิ..

แจ็ค มอร์ริสันยังยืนอยู่ตรงนี้.. นั่นคือปัญหา

“หึ คงหาทางใช้ท่า Death Blossom อยู่ล่ะสิ แต่เสียใจด้วยนะเพราะถ้านายทำแบบนั้นคนรักของนายก็อาจจะได้รับบาดเจ็บจนถึงชีวิตไปด้วยก็ได้" วิโดว์พูดขึ้นพร้อมยกยิ้มอย่างผู้เหนือชัย

“แก..” เรเยสกำมือแน่นด้วยความเหลืออด

“ใจเย็นๆ นะแกเบรียล" มอร์ริสันที่ยืนอยู่ข้างๆ เอื้อมมือมาบีบมือเขาเบาๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ของเขาอารมณ์เย็นลงแม้แต่นิด

“พวกแก..” เรเยสเค้นเสียงต่ำออกมาจากลำคอด้วยความอดทนที่เหลือน้อยลงเต็มที

“ฮะๆ~ นายทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะสินะเพราะงั้นฉันขอรับตัวเจ้าหมอนี่ไปละกัน ส่วนนาย.. พลทหาร 76 อย่าคิดที่จะขัดขืนหรือต่อสู้กับคนของฉันอย่างเด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้นแล้วไม่นายก็เจ้าหมอนั่นโดนฉันเป่าสมองกระจุยแน่" วิโดว์ยกยิ้มก่อนที่จะสั่งให้พวกทหารขององค์กรพาตัวมอร์ริสันกลับไปที่ฐานในขณะที่เรเยสได้เพียงแต่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บใจ “ลาก่อนนะรีปเปอร์~” วิโดว์ขยิบตาให้อีกฝ่ายก่อนจะกระโดดหายเข้าไปในยานที่จอดรออยู่ที่ตึกข้างๆ

เขานึกโทษตัวเองในใจที่ทำให้มอร์ริสันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทาลอนไม่ใช่องค์กรที่สมควรไปคบค้าด้วยตั้งแต่แรก พวกน่ารังเกียจเอ้ย!-- เรเยสนึกสบถอยู่คนเดียวในใจ เขาหยิบเครื่องมือสื่อสารที่เคยให้มอร์ริสันยืมใช้ติดต่อกับคนที่หน่วยโอเวอร์วอชออกมาติดต่อไปยังรายชื่อล่าสุดที่เพิ่งได้ติดต่อไป..

(เมอร์ซี่ หน่วยโอเวอร์วอชรับสาย ไม่ทราบว่านั่นใครคะ)

“รีปเปอร์" เขาตอบปลายสายไปสั้นๆ และดูเหมือนว่าปลายสายจะช็อคไปเล็กน้อยกับคำตอบนั้น

"ไม่มีเวลามาตกใจหรืออะไรทั้งสิ้น พลทหาร 76 ถูกองค์กรทาลอนจับตัวไป ย้ำอีกครั้ง พลทหาร 76 ถูกองค์กรทาลอนจับตัวไป ถ้าพวกแกอยากจะไปช่วยพวกพ้องฉันจะนำทางไปให้แต่ต้องมารับฉันไปด้วย สถานที่คือตรงที่พวกแกนัดพลทหาร 76 ไว้ จบกันแค่นี้"

(จบกันแค่นี้) เสียงของรุ่นน้องสาวที่เขาเคยคุ้นหน้าเป็นอย่างดีตอบรับกลับมาแค่นั้นก่อนสายจะถูกวางไป

ในตอนนี้ เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าตัวเองจะถูกโอเวอร์วอชจับตัวไปลงโทษหรืออะไร ขอเพียงแค่เจ้าพวกนั้นมารับเขาแล้วรีบไปช่วยมอร์ริสันให้ทันเวลาก็พอแล้ว..

ในตอนนี้ หัวสมองของเขามีแต่เรื่องของแจ็ค มอร์ริสันเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าองค์กรนั่นจะจับมอร์ริสันไปทำไม แต่เจ้าพวกนั้นต้องโดนฆ่าล้างองค์กรโดยฝีมือเขาอย่างแน่นอน.. รอแค่ให้มอร์ริสันปลอดภัย

เรเยสกำมือแน่นด้วยความแค้น-- รอก่อนนะมอร์ริสัน ฉันกับพรรคพวกของนายกำลังจะไปช่วยนายแล้ว!

- Ruin -

bottom of page