top of page

(IDV fanfiction) Hello, Welcome Home : Prologue

Prologue

(Hello, Welcome Home Series)

Pairing : #JackNaib (Jack x Naib Subedar)

Author : with her percentage

_____________________

ผมยังจดจำช่วงเวลาอันน่าขยะแขยงในตอนนั้น ที่ชวนให้หวาดกลัวทุกครั้งยามที่นึกถึงมันได้เป็นอย่างดี

สถานที่อับชื้น ทึนทึบ ส่งกลิ่นเหม็นหืนของราและตะไคร่น้ำ – ที่นี่ไม่ใช่สถานที่น่าอภิรมย์เลยสักนิด ผมตื่นขึ้นมาจากการหมดสติ และสิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือลำคอของตัวเองที่แห้งผาก

ไม่เคยมีแสงตะวันสาดส่องเข้ามาในที่แห่งนี้ สิ่งที่พอจะทำให้รับรู้วันคืนและเวลามีเพียงการร่วมมื้ออาหารกับคนแปลกหน้าเท่านั้น ถึงจะบอกว่าเป็นคนแปลกหน้า แต่ผมเองก็ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาของใครอื่น เพราะทุกครั้งที่มีคนมารับตัวออกจากห้องที่แสนมืดมิดนั่น ดวงตาก็ถูกบดบังด้วยผ้าผืนหนากลิ่นสะอาดสะอ้านขัดกับบรรยากาศรอบห้องที่ผมถูกขังให้อยู่

ผมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ถูกจับมา เพราะเสียงจอแจก่อนมื้ออาหารทำให้รู้ว่ามีเด็กชายอีกหลายคนนักที่ร่วมเผชิญกับชะตากรรมเช่นเดียวกับผมอยู่ ณ ที่แห่งนี้ พวกเราไม่เคยได้พูดคุยกันนอกเหนือเวลาก่อนมื้ออาหาร แต่อย่างน้อยเราก็รู้ชื่อของอีกฝ่าย และจดจำคนอื่น ๆ ได้จากเสียงพูด

พวกเราต่างรู้ว่าคนที่จับพวกเรามานั้นก็มาร่วมมื้ออาหารด้วยเช่นกัน และทุกครั้งที่เขามา เสียงของชายอีกคนที่ไปรับตัวพวกเราก็จะบอกให้เงียบ และจนกว่าเขาคนนั้นจะพึงใจกับความสงบ มื้ออาหารจึงจะเริ่มต้น

ซึ่งทุกสัปดาห์หลังจบมื้ออาหารเช้าของวันอาทิตย์ ก็จะมีใครคนหนึ่งถูกเลือกตัวไปจากหมู่พวกเรา คนผู้นั้นบอกว่าเด็กชายที่ถูกเลือกจะได้อาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าที่หรูหรา และสามารถกินขนมหวานเท่าที่ต้องการ ได้สิทธิ์การอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่นี่โดยที่ไม่ต้องมีผ้าปิดตายามที่เดินเตร่อยู่นอกห้องขัง

นั่นฟังดูน่าอิจฉาสำหรับคนอื่น ๆ ที่ต้องกลับไปใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันในห้องมืดที่มีแต่ความชื้นที่น่าสะอิดสะเอียน ผมยอมรับว่าในทีแรก ผมอิจฉา แต่ทว่าก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก

มื้ออาหารค่ำคืนหนึ่ง ผมเคยได้ยินเด็กชายผู้ถูกเลือกพูดเย้ยหยันคนอื่น ๆ ราวกับดูแคลนที่พวกเราคนอื่น ๆ ยังคงต้องสวมผ้าปิดตาและใส่เสื้อผ้าซอมซ่อที่ดูไม่ได้ เสียงเขาฟังดูอ่อนหวานและน่าขนลุกยามใช้คำพูดประหนึ่งกำลังออดอ้อนเจ้าบ้าน

อันที่จริง เด็กชายส่วนมากที่ถูกเลือกไปมักจะกลายเป็นแบบนั้น ต่อให้ก่อนหน้านี้เราจะรู้จักกันผ่าน ๆ จากการพูดคุยก่อนมื้ออาหารก็ตามที และถ้าผมต้องกลายเป็นคนนิสัยแบบนั้น ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะอยากเป็นคนที่ถูกเลือก

หลังจากที่รู้สึกว่าตนอยู่ที่นี่มานาน ผมกลับรู้สึกโล่งใจทุกครั้งที่มื้ออาหารค่ำจบลงและได้กลับไปยังห้องของตน ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเสียสติไปกับความมืดมิดที่ต้องเผชิญอยู่ก็ตามที

พวกคุณคงไม่คิดว่าจะมีคนดีที่ไหนมาจับเด็กชายหลายคนมาขังเอาไว้แบบนี้หรอกใช่ไหม

เพราะแบบนั้น ผมจึงไม่เชื่อในการกระทำแสนดีอะไรก็ตามที่เขามอบให้พวกเรา ไม่ว่าจะมื้ออาหารที่แสนอร่อย หรือการที่เลือกใครคนหนึ่งจากพวกเราไปเพื่อได้รับสิทธิพิเศษที่ฟังดูน่าอิจฉา

แต่แล้วก็เหมือนทุกที เมื่อครบอาทิตย์ เด็กชายที่เคยได้รับเลือกก็หายตัวไป ทุกคนต่างก็พูดกันว่าพวกเขาได้ไปอยู่ในสถานที่ที่ดีกว่านี้เพราะมีคนมารับไปเลี้ยง แต่บ้างก็มีข่าวลือว่าถูกขายให้กับคนอื่น หนักสุดก็คงจะเป็นถูกฆ่ากระมัง

ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ปักใจเชื่อสันนิษฐานสุดท้าย

เพราะถ้าหากคุณอยู่มานานจนชินชากับความเงียบประหนึ่งมีมันเป็นเพื่อนสนิทแบบที่ผมมี คุณจะรู้ว่าในทุก ๆ คืนเมื่อครบหนึ่งอาทิตย์ เสียงกรีดร้องที่ทรมานจะดังแว่วมาตามสายลมยามราตรี ผมเคยเอ่ยถามชายที่มารับตัวพวกเราไปทานอาหารแต่ละมื้อเกี่ยวกับเด็กชายที่หายตัวไป แต่ไม่เคยได้รับแม้กระทั่งการสนทนาตอบกลับ จนสุดท้ายผมก็เลิกดื้อดึงและอยากที่จะรู้

ท้ายที่สุด วันนึง ผมก็เลิกนับวันเวลาที่ถูกจับมาอยู่ที่นี่

ผมเคยมีความหวังและภาวนาอย่างสุดความเชื่อว่าจะมีใครสักคนมาช่วยหรือออกตามหาบ้างก็ยังดี บางทีโรงพิมพ์ที่ผมทำงานส่งหนังสือพิมพ์เขาอาจจะเห็นว่าผมหายตัวไป หรือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ผมอาศัยอยู่จะผิดสังเกตขึ้นมาก็ได้

แต่พอนานวันเข้าก็รู้ว่ามันเป็นแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ

จากนั่งนับวัน กลายเป็นอาทิตย์ ผลัดเปลี่ยนไปจนเป็นเดือน คำภาวนาถึงพระเจ้านั่นก็เลือนหาย แล้วในท้ายที่สุดผมก็ตระหนักได้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองก็เป็นเพียงหนึ่งในบรรดาเด็กกำพร้าเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ถูกจับมา

‘เด็กกำพร้า’

กลุ่มคนที่ไม่เคยมีใครต้องการ ความจริงของเรื่องนั้นยิ่งตอกย้ำให้ผมรับรู้ว่าคงไม่มีใครคิดจะตามหาหรือแม้กระทั่งให้ความสนใจกับการหายตัวไปนี้และคงไม่มีใครที่จะมาช่วยพวกเราทั้งหมดนี่ออกจากสถานที่แห่งนี้หรอก แม้กระทั่งพระเจ้าที่พวกเราอ้อนวอนภาวนาถึงในทุกคืนก่อนนอนก็ตามที

น่าเจ็บปวดนะที่ไม่มีใครข้างบนนั่นรับฟังคำร้องรอขอของเราหรอก

และสิ่งที่กลับใกล้เคียงกับพระเจ้ามากที่สุดก็คือเจ้าบ้านผู้นั้น

แจ็ค

วันนั้นก็เป็นเหมือนกับทุก ๆ วันที่น่าเบื่อของผมในห้องขังที่มืดมิดนี่ ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากการทิ้งตัวนอนนิ่งอยู่บนฟูกนิ่ม หรือไม่ก็ลุกไปออกกำลังกายเพื่อฆ่าเวลา

เรื่องที่น่าประหลาดใจคือแจ็คใจดีกว่าที่ผมคิด ถึงเขาจะดูเป็นคนไม่ดีที่จับพวกเราทั้งหมดมาแยกขังเดี่ยวในห้องมืด แต่ยามที่เราเอ่ยขออะไรบางอย่าง แจ็คก็จะให้

ผมมีดัมเบลอยู่หลายน้ำหนัก แจ็คให้พ่อบ้านคนนั้นที่มักจะดูแลการเป็นอยู่ของเราเอามาให้ผมเมื่อเดือนก่อน ซึ่งมันก็ช่วยฆ่าเวลาและความน่าเบื่อในแต่ละวันไปได้มากทีเดียว

“ได้เวลามื้อเช้าแล้ว”

เสียงที่ผมคุ้นชินเอ่ยบอกอยู่ที่หน้าประตู ผมไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองตื่นอยู่ทั้งคืนที่ผ่านมา สองแขนขยับหยัดตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับพยายามเลิกคิดอะไรก็ตามที่กำลังพลุกพล่านอยู่ในหัว ลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้ามาคาดปิดตาแล้วเคาะประตูเพื่อบอกให้บุคคลที่อยู่อีกฝั่งรับรู้ว่าผมพร้อมแล้ว

เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ผมเลิกใส่ใจไปแล้วว่าเด็กพวกนั้นคุยกันเรื่องอะไรก็ยังลอยเนือง ๆ เข้ามายังโสตประสาท บางครั้งผมก็นึกสงสัยว่ามีเรื่องอะไรให้คุยกันนัก ในเมื่อวัน ๆ พวกเราแต่ละคนก็ถูกจับขังแยกในห้องมืดที่ไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่าฟูกนอนที่แสนสบาย

ผมนั่งลงในที่ของผม ผมคิดว่ามันคือที่ประจำที่เดิมเหมือนกับทุกทีเพราะคนข้างกายก็มักจะเป็นเด็กชายคนเดิมเสมอ– เกรย์

“นี่... นายที่ไม่เคยบอกชื่อ” เขาเอ่ยเรียกผม

“ไง”

“เมื่อคืนฉันได้ยินเสียงกรีดร้องอีกแล้ว...” น้ำเสียงของเขาฟังดูหวาดกลัวตอนที่พูดถึงเรื่องนั้น เรื่องเสียงกรีดร้องที่ผมเองก็มักจะได้ยินในคืนวันเสาร์ ทว่ามันเป็นเรื่องราวที่ผมเลิกให้ความสนใจไปนานเท่าที่ตัวเองจะจำได้

“ก็เหมือนทุกครั้ง” ผมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่พร้อมกับเอ่ยตอบปัดกลับไป ใจไม่ได้อยากนึกสนทนาเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก อาจจะเพราะรู้สึกอ่อนเพลียจากการที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้นอนมาถึงหนึ่งวันเต็ม ๆ

“นายไม่สงสัยเลยหรือว่านั่นคือเสียงของใคร หรือ... เสียงของอะไร” เกรย์ยังคงพยายามดึงความสนใจของผมกลับมาที่เรื่องนี้ หากเขาสามารถเห็นสีหน้าของผมได้ก็คงจะรู้ว่าผมเอือมระอาเต็มทนกับการเดาสุ่มประเด็นที่เกิดขึ้นที่นี่

“... หรือว่าที่นี่จะมีผีกัน ผีโหยหวนในค่ำคืนวันเสาร์ อะไรแบบนั้นน่ะ”

ไร้สาระชะมัด

ผมปัดตกประเด็นการสนทนาระหว่างเขาไปในทันที การปล่อยให้ความเงียบตอบกลับดูเป็นการเพิกเฉยที่ใจร้าย แต่เชื่อเถอะ เกรย์ก็ยังสามารถพร่ำพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องนั้นไปได้คนเดียวอีกนานต่อนานนัก

จนกระทั่งเสียงขาเก้าอี้ตัวหนึ่งดังขึ้นยามที่มันถูกลากเสียดกับพื้น

แจ็คมาแล้ว

พลันทุกอย่างหยุดชะงัก เสียงจ้อกแจ้กจอแจของเหล่าเด็กหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันก็เงียบลงแทบจะทันที

และ—ไม่... วันนี้ผมและคนอื่น ๆ ไม่ได้ยินเสียงของ วินเซนต์ เด็กหนุ่มผู้ที่ถูกเลือกไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

ดูเหมือนการหายตัวไปของวินเซนต์จะทำให้เสียงจอแจกลับมาดังขึ้นอีกรอบ ถึงจะเป็นเสียงซุบซิบที่แผ่วเบากว่านัก แต่ก็น่ารำคาญสำหรับผมอยู่ดี

ผมคิดว่าแจ็คเองก็ไม่ได้ชื่นชอบมันเช่นกัน

เอาล่ะ... ทีนี้ผมก็ต้องรอคนอื่น ๆ สำนึกให้ได้ว่าพวกเราควรจะเงียบปากของตัวเองก่อนมื้ออาหาร เพราะแจ็คไม่เคยอนุญาตให้พวกเราได้เริ่มรับประทานอาหารหากทุกอย่างยังไม่อยู่ในความเงียบสงบ

ไม่ใช่ว่าผมเองไม่สงสัยหรอกนะว่าวินเซนต์หายไปไหน ไม่ใช่แค่เขา แต่รวมไปถึงเด็กคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ด้วย แต่กระนั้นก็ทำได้แค่ปัดประเด็นที่ค้างคาใจให้ตกไปดีกว่าเก็บมันมาคิดให้คาใจแล้วไม่เคยได้รับคำตอบอะไรกลับมา

ผมรอเวลา ได้ยินเสียง ‘ติ๊ก ติ๊ก’ ดังขึ้นแผ่วเบาอยู่ในความคิดของตัวเองราวกับเป็นเข็มนาฬิกาแห่งความอดทนให้ทุก ๆ คนอยู่ในความสงบเสียที

สุดท้ายเสียงกระแอมดังขึ้นหนึ่งครั้งจากทางซ้ายนั่นเมื่อต้องรอให้เวลาดำเนินผ่านไปนานนับเกือบสิบนาที และคนที่เป็นต้นเสียงก็คือเจ้าบ้านผู้เงียบขรึม เรารอกันอีกเพียงครู่กว่าที่เสียงของเด็กชายพวกนั้นจะเงียบลงสนิท แล้วถ้อยคำอนุญาตให้เราเริ่มมื้ออาหารได้ก็ดังขึ้น

ผมจัดการมื้อเช้าของตัวเองไปเงียบ ๆ สดับฟังเสียงมีดและส้อมที่กระทบจานของแต่ละคนอย่างเหม่อลอยไปกับความคิดที่ว่า ‘ใครจะถูกเลือกในวันนี้’ มันไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นมากเกินจำเป็นสำหรับผมเท่าไหร่ เพราะยังไงเสียก็คิดว่าแจ็คก็คงจะเลือกเด็กชายที่ดู... มีชีวิตชีวามากกว่าตัวผมอยู่ดี

มันเป็นเช่นนั้นมาตลอด

อย่างน้อยผมก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกเลือกเป็นคนสำคัญรายอาทิตย์ ไม่ได้อยากโดนเลือกไปในฐานะนั้นด้วย... อาจจะเพราะปริศนาที่ยังคงคลุมเครือว่าเด็กชายเหล่านั้นหายไปไหนหลังจากที่ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนก่อนเช้าวันอาทิตย์

แต่ผมเองก็อยากเป็นประโยชน์ให้กับเขาได้บ้างในวันนึงเพื่อตอบแทนมื้ออาหารที่แสนดี และที่ซุกหัวนอนสำหรับเด็กที่ไม่มีที่ไปอย่างเขา

เพราะการอยู่ข้างนอกนั่นก็คงไม่ได้กินอิ่ม นอนหลับ โดยที่ไม่ต้องทำงานอะไรแลกแบบนี้

นับวัน ความคิดที่ผมมีต่อแจ็คก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดีโดยที่ผมไม่ได้ฉุกคิดเลยว่านั่นเป็นเรื่องที่ควรหรือไม่

หลายคนจัดการมื้ออาหารของตัวเองเสร็จแล้วรวมถึงผมด้วยเช่นกัน ผมใช้ส้อมเกลี่ยหาเศษอาหารบางส่วนเผื่อว่ามันยังหลงเหลืออยู่ในจานบ้าง แต่พอไม่พบ ถึงได้รู้ว่ามันหมดแล้ว

บอกตรง ๆ ว่าไม่อิ่มสักนิด... อาจจะเป็นเพราะผมเริ่มออกกำลังกายหนักขึ้น ทำให้อาหารที่ถูกจัดไว้ให้มันไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของร่างกายที่มากขึ้น ผมคิดว่าตัวเองควรบอกเรื่องนี้กับพ่อบ้านคนนั้นหลังจากมื้ออาหารเช้านี้จบลง

ก็ได้แต่หวังว่าแจ็คคงจะไม่ขี้งกกับเรื่องอาหารการกินหรอกนะ

‘กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...’

หลังจากนั้นไม่นานมากนัก เสียงกระดิ่งสามครั้งก็ดังขึ้นเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าทุกคนจัดการมื้ออาหารของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่หลังจากนี้จะเข้าสู่ช่วงการเลือกตัวเด็กชายผู้โชคดีประจำอาทิตย์ ซึ่งสำหรับผมคิดว่ามันควรเปลี่ยนเป็นช่วงการเลือกตัวเด็กชาย ‘ผู้ล่วงลับ’ ประจำอาทิตย์เสียมากกว่า

ผมวางช้อนและส้อมของตัวเองลงในจาน เปลี่ยนท่าทางมานั่งสงบนิ่งอยู่กับตัวเอง ซึ่งเหมือนกับทุก ๆ ครั้ง

และความนิ่งเงียบที่เคยให้ความรู้สึกสบายใจกลายเป็นความอึดอัดได้เพียงชั่วพริบตา

หัวใจของผมเต้นโครมครามราวกับว่ามันจะหลุดออกมานอกอก ถึงแม้จะพยายามสงบอารมณ์ให้นิ่งที่สุด แต่ทว่าเด็กที่นั่งถัดไปด้านซ้าย รวมไปถึงเกรย์ที่นั่งอยู่ด้านขวา หรือไม่ว่าจะเป็นเด็กคนอื่น ๆ ต่างก็พากันสวดภาวนาพึมพำจนดังระงมแผ่วเบาไปทั่วบริเวณโต๊ะอาหารแห่งนี้และเสียงงึมงำเหล่านั้นก็ทำให้ผมลุกลี้ลุกลนตามจนเผลอขยับตัวหลุกหลิกไปมาอย่างอยู่ไม่สุข

ลมหายใจของผมกระชั้นถี่ขึ้น พร้อม ๆ กับที่ก้อนเนื้อในอกยังคงเต้นระรัวอย่างตื่นเต้นและประหม่า

ให้ตายสิ... รู้สึกปั่นป่วนชะมัดเลย

ดวงตาทั้งสองของผมปิดเข้าหากันแน่นเสียจนเริ่มเวียนหัวเมื่อรู้สึกว่าเวลาในตอนนี้เดินผ่านไปช้าเหลือเกิน ผมได้แต่หวังว่าเสียงของแจ็คจะเอ่ยขานชื่อของเด็กชายที่ถูกเลือกในเร็ว ๆ นี้ เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้กลับไปพักผ่อนที่ห้องของตนเสียที

ความรู้สึกอ่อนเพลียจากอาการอดนอน ปนเปไปกับความรู้สึกปั่นป่วนที่ชวนให้อึดอัดไปทั่วช่องท้องในตอนนี้ราวกับกำลังจะทำให้เขาเป็นลมล้มพับกับโต๊ะรับประทานอาหารตรงหน้าได้อยู่แล้ว

จนในที่สุด เสียงกระแอมจากทางหัวโต๊ะก็ดังขึ้น ดูเหมือนเจ้าบ้านผู้นั้นจะตัดสินใจได้แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมกำลังรออยู่เลย

“นาอิบ...” แต่แล้วเสียงทุ้มนุ่มของแจ็คกลับเรียกชื่อที่ฟังดูคุ้นหูของผม น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาและเลื่อนลอยออกไปไกลตามสติที่ใกล้จะวูบดับของผม แต่ผมก็ได้ยินเขาเอ่ยเรียกย้ำอีกรอบ “นาอิบ ซูบีดาร์”

ชื่อของผม

นาอิบ ซูบีดาร์คือเด็กชายผู้ถูกเลือกประจำอาทิตย์นี้”

100%

_____________________

I hope you will like it.

Please comment (#WCHFIC) for being support me,

or if you want to talk with me, hmu@Twitter

x.

WHP.

bottom of page